ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 718 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 14341 - 14360 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14341 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561) | ทส | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14342 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี 2561 | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสองปี ๒๕๖๑ เทียบกับไตรมาสสองปี ๒๕๖๐ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๙ การจ้างงานภาคเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๐ อัตราการว่างงานลดลงคงเหลือร้อยละ ๑.๑ ค่าจ้างภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๐ หนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ยังมีความสามารถในการชำระหนี้ สะท้อนจากยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๐ สัดส่วนสินเชื่อลดลงเกือบทุกประเภทยกเว้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยอดคงค้าง NPL ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๐.๔ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเกือบ ๒ เท่า ค่าใช้จ่ายและจำนวนผู้สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอย่างต่อเนื่องร้อยละ ๒.๔ และ ๑.๓ ตามลำดับ คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๓๔.๑ ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติด และการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๖๐ ร้อยละ ๒๓.๓ ๒. สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ เช่น (๑) ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ดีขึ้น เป็น “Tier 2” (๒) การลดขยะพลาสติกด้วยการใช้มาตรการที่เป็นรูปธรรมร่วมกับการรณรงค์ให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ (๓) สถานการณ์ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ (๔) Airbnb เทคโนโลยีกับการเปลี่ยนรูปแบบบริโภคและผลกระทบต่อสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14343 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 (ครั้งที่ 2) | นร12 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒) และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒) รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอแนะตามบันทึกความเห็นของ ค.ต.ป. และแจ้งให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และจังหวัด ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไขได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ ค.ต.ป. ดังกล่าว พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อ ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการของ ค.ต.ป. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และกรรมการและเลขานุการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ควรเพิ่มการกำหนดตัวชี้วัด ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบให้ชัดเจนทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการ และควรเพิ่มรูปแบบการถ่ายทอดยุทธศาสตร์ระดับชาติลงสู่ระดับต่าง ๆ ที่สามารถสร้างความเข้าใจที่ตรงกันของผู้ปฏิบัติ รวมถึงรูปแบบการเชื่อมโยงผลผลิตและผลลัพธ์ตามเป้าประสงค์ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้มีวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ในองค์รวม (๒) รายงานผลการติดตามฯ ควรอธิบายถึงการกำหนดตัวชี้วัด กรอบ/แนวทางการประเมินในแต่ละสาขา รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโครงการที่จะติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถพิจารณาความเหมาะสมและความสอดคล้องของผลการดำเนินการที่ได้รายงานมากับเป้าหมายการพัฒนาประเทศได้ และ (๓) การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล ควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลลัพธ์หรือผลกระทบจากการดำเนินการของหลายโครงการที่มีความเกี่ยวโยงกัน เพื่อให้สามารถได้ผลการประเมินที่สะท้อนภาพรวมของการพัฒนาประเทศ และสามารถนำผลการประเมินมาใช้วางแผนและการกำหนดแนวทางกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับประเด็นการพัฒนาประเทศได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14344 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ งานก่อสร้างอาคารพักคนงาน (เจ้าหน้าที่) โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 อาคาร | สธ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารพักคนงาน (เจ้าหน้าที่) โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑ อาคาร จากวงเงิน ๑๖,๕๑๖,๕๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๗,๙๑๒,๕๐๐ บาท โดยใช้งบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ วงเงิน ๑๒,๗๐๗,๕๐๐ บาท และใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลสวนสราญรมย์สมทบจ่าย จำนวน ๒,๙๖๒,๕๐๐ บาท รวมกับงบประมาณส่วนที่เบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน ๒,๒๔๒,๕๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสุขภาพจิตรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายที่ไม่สามารถดำเนินการใช้ประโยชน์จากอาคารตามที่กำหนด ภาระของงบประมาณที่เพิ่มขึ้นหรือการใดที่เกี่ยวข้องจากผู้รับจ้างเดิมที่ได้บอกเลิกสัญญาไปแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14345 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2561 และครั้งที่ 3/2561 (มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561) | ทส | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุม กก.วล. จำนวน ๒ ครั้ง ประกอบด้วย (๑) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้ว จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๖ โครงการ ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... การกำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำนวน ๒ เรื่อง และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการขยะพลาสติก และ (๒) การประชุม กก.วล. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นเรื่องนโยบายที่สำคัญและได้ข้อยุติแล้วเช่นกัน จำนวน ๗ เรื่อง ได้แก่ การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๓ โครงการ และการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14346 | การรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement) | นร13 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในจดหมายรับรองการปรับปรุงรายการข้อสงวนของสหพันธรัฐมาเลเซีย ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน (ASEAN Comprehensive Investment Agreement : ACIA ) เพื่อให้กระบวนการปรับปรุงรายการข้อสงวนของมาเลเซียเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการปรับปรุงรายการข้อสงวนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้รายการข้อสงวนมีความชัดเจนโปร่งใสมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด เช่น ทุกบริษัทที่จัดตั้งในมาเลเซียจะต้องมีผู้บริหารอย่างน้อย ๒ ราย ที่มีถิ่นที่อยู่หลักหรือมีถิ่นที่อยู่เพียงแห่งเดียวในมาเลเซีย การกำหนดคำนิยามของเรือประมงและน่านน้ำประมง และการเปิดเสรีให้กิจการผลิตเหล็กเส้น เหล็กแท่ง และการผ่อนปรนในกิจการผลิตน้ำตาลทรายให้อยู่ในรายการที่เปิดเสรีแต่มีเงื่อนไขเฉพาะ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการที่รัฐบาลมาเลเซียแจ้งว่า จะดำเนินนโยบายในการสนับสนุนบุคคล/นิติบุคคลที่มีเชื้อชาติพื้นเมืองมาเลเซีย (Bumiputera) เหนือกว่าเชื้อชาติอื่นทั้งหมดนั้น เป็นกิจการภายในของรัฐบาลมาเลเซีย ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ควรแสดงความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน (ให้การรับรอง) หรือคัดค้าน (ไม่ให้การรับรอง) ก็ตาม และในส่วนของรายการข้อสงวนที่ ๗ ซึ่งมาเลเซียได้เสนอขอปรับเพิ่มข้อความเพื่ออธิบายมาตรการที่จะสนับสนุน Bumiputera นั้น ข้อความที่ปรับเพิ่มขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยในทุกสาขาอุตสาหกรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14347 | ขออนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง | กษ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานการประมง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมง แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยความร่วมมือด้านประมง และอนุมัติให้อธิบดีกรมประมงเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจ รวมถึงการดำเนินโครงการร่วม และการส่งเสริมการค้าในสาขาประมงด้านต่าง ๆ ระหว่างคู่ภาคี และมีขอบเขตความร่วมมือ เช่น การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการประมง การส่งเสริมการลงทุนและการค้าสัตว์น้ำ และการขยายตลาดโดยคำนึงถึงประโยชน์ร่วมกันในบริบทของภูมิภาค เป็นต้น รวมทั้งระบุให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านประมง (Joint Fisheries Working Group : JFWG) เพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีการจัดประชุมทุกปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง คำนึงถึงประเด็นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไม่ทำลายระบบนิเวศบนบกและนิเวศชายฝั่ง ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ ๑๔ (ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน) การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล เพื่อคงไว้ซึ่งระบบนิเวศและนำมาสู่ความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายด้วย และควรใช้รูปแบบความร่วมมือด้านต่าง ๆ เป็นช่องทางในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลและองค์ความรู้กับสำนักงานการประมงของกัมพูชา เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน และการป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14348 | ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 และร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 14 | ทส | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (๑) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๔ (Draft ASEAN Joint Statement on Climate Change to the 24th Session of the Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change : COP 24) เป็นเอกสารแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละภาคี เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสนับสนุนกลไกทางการเงิน การให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีเพื่อการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ (๒) ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ สำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๔ (Draft ASEAN Joint Statement to the 14th Meeting of the Conference of the Parties to the Convention on Biological Diversity : CBD COP 14) เป็นเอกสารแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเร่งส่งเสริมกิจกรรมการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่แผนระดับชาติและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสนับสนุนการแก้ไขปัญหาขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนจัดเตรียมทรัพยากรทางการเงินและวิชาการเพื่อสนับสนุนความพยายามของประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับ รวมทั้งเห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๓ (The 33rd ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนฯ ทั้งสองฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14349 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ | สธ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และร่างปฏิญญาทางการเมืองของการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการต่อสู้กับวัณโรค และการป้องกัน และควบคุมโรคไม่ติดต่อ ๑.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุข (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) และกระทรวงการต่างประเทศ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) ร่วมรับรองร่างปฏิญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวในการประชุมระดับสูงของสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อสู้กับวัณโรค และการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กันยายน ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาทั้งสองฉบับดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14350 | การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2561 | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนให้ใช้บังคับกับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน-๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ที่กรุงเทพมหานคร โดยเนื้อหาของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของการฝึกอบรม เช่น กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีภูมิหลังหรือประสบการณ์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จำนวนไม่เกิน ๓๐ คน ซึ่งไทยสามารถส่งผู้แทนเข้าร่วมได้ ๕ คน และการให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ผู้บรรยายและพนักงานของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง สำหรับการแบ่งส่วนความรับผิดชอบค่าใช้จ่าย โดยสหประชาชาติจะรับผิดชอบในการเตรียมหลักสูตรการฝึกอบรมฯ ส่วนรัฐบาลไทยจะรับผิดชอบค่าที่พัก อาหารเช้า และอาหารค่ำ การจัดรถรับ-ส่งผู้เข้าร่วมระหว่างโรงแรมที่พักกับสนามบิน และการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมให้แก่ผู้เข้าร่วม ทั้งนี้ ความตกลงดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับ ณ วันที่มีการลงนามหนังสือฉบับนี้ ๑.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทยสำหรับการฝึกอบรมฯ ประจำปี ๒๕๖๑ พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้ต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพได้ หากสหประชาชาติทาบทามให้ไทยร่วมเป็นเจ้าภาพในปีต่อ ๆ ไป โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเสนอความตกลงประเทศเจ้าภาพเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ในเนื้อหาและถ้อยคำเรียบร้อยแล้ว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าใช้จ่ายสัมมนากฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ในวงเงิน ๒,๒๖๗,๘๐๐ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการภายใต้ความตกลงดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14351 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคอซอวอว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคอซอวอว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ มีสาระสำคัญเป็นการให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือราชการที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า-ออก แวะผ่าน และพำนักในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ตั้งแต่วันที่เดินทางเข้า โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการตนเอง หรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับ ๖๐ วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งครั้งสุดท้ายว่าคู่ภาคีทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงมีผลใช้บังคับเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในช่วงที่คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๓ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายคอซอวอเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14352 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งจอร์เจียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษ | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งจอร์เจียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการหรือหนังสือเดินทางพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ หรือหนังสือเดินทางพิเศษ ที่มีอายุใช้ได้ของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า-ออก แวะผ่าน และพำนักอยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน ภายในระยะเวลา ๑๘๐ วันใด ๆ นับตั้งแต่วันที่เดินทางเข้า (ในช่วงระยะเวลา ๑๘๐ วันจะเดินทางเข้า-ออกกี่ครั้งก็ได้ แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน ๙๐ วัน) ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ทำงานใด ๆ ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่หากบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูตหรือในสถานทำการทางกงสุลหรือองค์การระหว่างประเทศที่มีที่ตั้งอยู่ในดินแดนของอีกฝ่าย รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวสามารถเดินทางเข้า พำนัก และออกจากดินแดนของอีกฝ่ายได้ไม่เกิน ๙๐ วัน ซึ่งความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ ๓๐ นับจากวันที่ทั้งสองฝ่ายได้แจ้งซึ่งกันและกันเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับสุดท้ายโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด และฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจขอยกเลิกความตกลงฯ ได้โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งนี้ กำหนดให้มีการลงนามในร่างความตกลงฯ ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๓ ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายจอร์เจียเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14353 | การบริจาคเงินสมทบกองทุนสำหรับพันธมิตรหลากอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Alliance of Civilizations - UNAOC) | กต | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเบิกจ่ายเงินสมทบกองทุนโดยสมัครใจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมของกองทุนสำหรับพันธมิตรหลากหลายอารยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Alliance of Civilizations : UNAOC) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และอนุมัติการบริจาคเงินสมทบกองทุนโดยสมัครใจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานและกิจกรรมของ UNAOC ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ รวม ๔ ปี ปีละจำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ โดยไม่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหรือคำนวณอัตราการบริจาคใหม่ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าวเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ปีละจำนวน ๑๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๓๔๐,๐๐๐ บาท และ ๓๑๕,๐๐๐ บาท ตามลำดับ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ คิด อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๔.๐๐ บาท ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑.๕๐ บาท) ทั้งนี้ ภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ได้รับการบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว โดยเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการสนับสนุนให้ผู้แทนประเทศไทยทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคมได้เข้าร่วมกิจกรรมของ UNAOC อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนากับองค์การระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14354 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้างจากอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 10 จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกลุ่มอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 4 จังหวัดราชบุรี | สกช | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้สภากาชาดไทยเปลี่ยนแปลงรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้าง จากเดิม ค่าก่อสร้างอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๑๐ จังหวัดเชียงใหม่ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ๑ หลัง ในวงเงิน ๑๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท มาเป็น ค่าก่อสร้างกลุ่มอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๔ จังหวัดราชบุรี ตำบลพงสวาย อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี โดยมีระยะเวลาดำเนินการและอยู่ภายในวงเงินตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๑๓,๘๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ รายการดังกล่าวได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ พ.ศ. ๒๕๖๒ รองรับไว้แล้ว สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ตามกรอบวงเงินดังกล่าว ได้รับการบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว จึงเห็นควรให้สภากาชาดไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ส่วนรูปแบบอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติในส่วนของหอพัก เห็นควรให้สภากาชาดไทยหารือกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สภากาชาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรเร่งรัดดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการ/แผนงานของสภากาชาดไทยในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สภากาชาดไทยถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. กรณีโครงการก่อสร้างอาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ ๑๐ จังหวัดเชียงใหม่ที่ขอยกเลิกในครั้งนี้ หากสภากาชาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการในพื้นที่ดังกล่าวในโอกาสต่อไป ให้สำนักงบประมาณพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า และความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการในพื้นที่ดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14355 | การขอขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ | ดศ | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในส่วนของกิจกรรมที่ ๑ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ระหว่างดำเนินกิจกรรม/โครงการเพิ่มเติม ส่วนกิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ซึ่งประกอบด้วย ๓ กิจกรรมย่อย โดยกิจกรรมย่อยที่มีความคืบหน้ามากที่สุด คือ กิจกรรมย่อย ๒ (การขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศของระบบที่มีอยู่ 1,770 Gbps) ซึ่งบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการขยายความจุโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำฯ แล้ว จำนวน 980 Gbps นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้โอนงบประมาณในลักษณะเบิกจ่ายแทนกันให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับจัดสรรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืนตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง รวมทั้งควรเร่งรัดและติดตามการดำเนินการในแต่ละกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวได้อย่างเต็มศักยภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานภายในประเทศได้เพียงพอต่อความต้องการ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. รับทราบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผนการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (แผน USO) ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งประสานไปยังสำนักงาน กสทช. เพื่อหารือในรายละเอียดของแนวทางการดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมให้สอดคล้องกับแผน USO และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจาก กสทช. ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถขอรับการจัดสรรงบประมาณดังกล่าวได้ทันตามแผนที่กำหนดไว้ ๓. กรณีการขอขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม กิจกรรมที่ ๑ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) จำนวน ๑,๐๗๒.๑๙๕๕ ล้านบาท และกิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. กรณีการขอความเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมนำงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินการโครงการเน็ตประชารัฐมาดำเนินการ (๑) จัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม (๒) ต่อยอดการสร้างการรับรู้และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ดำเนินการ (๓) ประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ติดตั้งแล้วเสร็จอย่างคุ้มค่า และ (๔) ให้มีการดูแลและบำรุงรักษาโครงข่าย นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ และ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ ที่ให้ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐ แล้วเสนอนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14356 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๖๒ จำนวน ๗,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ เนื่องจากจำนวนเงินดังกล่าวมีความเหมาะสมกับเงินสดรับคงเหลือของกองทุนฯ ที่ประมาณว่าจะมีอยู่จำนวน ๗,๙๐๘ ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญ ให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14357 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2562 | กค | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ วงเงินรวม ๑,๖๖๓,๐๐๑.๙๘ ล้านบาท ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๗๔๓,๙๐๑.๓๑ ล้านบาท และแผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๙๑๙,๑๐๐.๖๗ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๖๕,๑๑๗.๒๐ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุนและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผน ฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนฯ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๑.๕ รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้คงค้างขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ๑.๖ มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้รัฐบาลรับภาระหนี้ของ ขสมก. เฉพาะในส่วนดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อ ขสมก. จะได้รับขอจัดสรรงบประมาณในการชำระดอกเบี้ยตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๒๐ (๓) การตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ภาครัฐ ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะที่กระทรวงการคลังค้ำประกันทั้งต้นเงินกู้และดอกเบี้ยอย่างพอเพียง และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ (๓) สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงินของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระ ต้องตั้งตามภาระที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณนั้น ๑.๗ รับทราบประมาณการหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในช่วงปีงบประมาณ ๒๕๖๒-๒๕๗๑ และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการลงทุนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ๒. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานเจ้าของวงเงินกู้กำกับติดตามการดำเนินแผนงาน/โครงการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะให้สอดคล้องกับความต้องการเบิกจ่ายเงินในแต่ละช่วงเวลาได้ภายใต้ความร่วมมือและการประสานงานอย่างใกล้ชิดของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการติดตามและเร่งรัดให้หน่วยงานภาครัฐสามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินได้สอดคล้องกับแผนการกู้เงิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) เร่งรัดดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้ของ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๑) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14358 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2562 | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๒,๐๕๘,๑๙๖ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๘,๙๔๓ ล้านบาท และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ของกรอบวงเงินอนุมัติเบิกจ่ายลงทุน ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และการอนุมัติลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี ๑.๓ มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๑.๔ ให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ระดับกระทรวง และระดับองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๑๑๗,๑๑๐ ล้านบาท และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๖๑๒,๗๑๑ ล้านบาท และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๑๓๓,๙๐๙ ล้านบาท ๑.๖ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดกลุ่มรัฐวิสาหกิจตามประเภทการดำเนินกิจการ โดยอาจนำแนวทางการปรับสถานะและความจำเป็นในการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอคณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจให้ความเห็นชอบไว้แล้วในปี ๒๕๕๘ มาประกอบการพิจารณา ๑.๗ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมีบทบาทในกระบวนการพิจารณาการลงทุนของรัฐวิสาหกิจร่วมกัน ๑.๘ ให้กำหนดเงื่อนไขและกรอบระยะเวลาให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพื่อกำหนดทิศทางการลงทุนของรัฐวิสาหกิจในระยะยาวให้ชัดเจน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจด้านคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในช่วงการฟื้นฟูกิจการ โดยให้เสนอขออนุมัติโครงการตามขั้นตอนที่สอดคล้องกับแผนการลงทุนดังกล่าว และในการเสนอของบลงทุนให้มีรายละเอียดเรื่องการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ รัฐมนตรี/กระทรวงเจ้าสังกัด/คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ/และรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติมของกระทรวงพลังงาน เช่น ควรให้ความสำคัญในการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการวัดผลสัมฤทธิ์จากการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายกรณีที่มีความล่าช้า เพื่อให้การใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบลงทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีของรัฐวิสาหกิจ ควรพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และต้องมีการรายงานผลการดำเนินงานและการเปลี่ยนแปลงให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14359 | ข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร11 | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรอบงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนสำหรับดำเนินการตามข้อเสนอโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ ในช่วงระยะครึ่งหลังของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท รวมถึงการดำเนินการจัดตั้งสถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา (Institute of Public Policy and Development) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในรูปแบบสถาบันภายใต้มูลนิธิพระยาสุริยานุวัตร โดยโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ มีแผนงาน/โครงการที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น แผนงานการสร้างฐานสำหรับการวิเคราะห์วิจัยด้านเศรษฐกิจและสังคมเชิงลึก โครงการพัฒนาเครื่องมือและระบบการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาระบบเตือนภัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่รองรับพลวัตรที่รวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง แผนงานการวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มอนาคตและผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โครงการวิเคราะห์ภาพอนาคต (Scenario) ของการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลจากการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาล แผนงานการออกแบบและการพัฒนานโยบายสาธารณะ (Policy Design and Development) โครงการพัฒนานโยบายสร้างพื้นที่เติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ โครงการออกแบบนโยบายพัฒนาสาขาการผลิตและบริการที่จะเป็นเครื่องจักรการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพฯ ควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของงบประมาณหรือแหล่งเงินนอกงบประมาณให้ครบถ้วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการสถาบันฯ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการสรรหาบุคลากรและการสร้างกลไกความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อน การกำหนดบทบาทและขอบเขตการทำงานที่แตกต่างและเสริมกันอย่างชัดเจนระหว่างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสถาบันฯ การสรรหาผู้อำนวยการสถาบันฯ ด้วยกระบวนการและวิธีการที่มีมาตรฐานสูง การสร้างกลไกในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการวิจัยร่วมกับหน่วยงานภายนอกทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน และการพิจารณารับดำเนินการโครงการวิจัยให้กับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับหน่วยงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14360 | การลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา | อก | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลา โดยจะจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา บนพื้นที่ดินราชพัสดุประมาณ ๙๒๗.๙๒๕ ไร่ ซึ่งปัจจุบันได้ทำสัญญาเช่าที่ดินประมาณ ๖๒๙.๔๒๕ ไร่ (ระยะที่ ๑) กับกรมธนารักษ์เป็นเวลา ๕๐ ปี เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือ (ระยะที่ ๒) จะทำสัญญาเช่าจนครบเต็มพื้นที่ต่อไป โดยใช้เงินลงทุนโครงการรวม ๒,๘๙๐.๔๐๒ ล้านบาท มีอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะหรือเครื่องจักร อุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยระยะที่ ๑ คาดว่าจะใช้เวลาพัฒนาโครงการประมาณ ๑๕ เดือน ส่วนระยะที่ ๒ เริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๒ เดือน และคาดว่าจะให้เช่าพื้นที่แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและนักลงทุนได้หมดภายใน ๖ ปี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาความสอดคล้องกับนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จังหวัดสงขลา ในการดำเนินการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาต่อไป รวมทั้งให้นำเสนอจุดเด่นของนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการ/นักลงทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมฯ ได้อย่างรวดเร็วด้วย สำหรับแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยใช้จ่ายจากรายได้ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นลำดับแรกก่อน และหากมีความจำเป็นก็เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับเป็นค่าก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในพื้นที่ในการร่วมกันกำหนดรูปแบบของนิคมอุตสาหกรรม ควรคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศเพื่อรองรับการทดสอบและรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสงขลาควบคู่กันไปด้วย ควรพิจารณาเพิ่มเติมอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สอดคล้องกับร่างยุทธศาสตร์ชาติซึ่งมุ่งเน้นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่สร้างมูลค่าสูง หรือมีการใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติที่ทันสมัย และเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) รวมทั้งไม่ควรเน้นอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม และควรเร่งรัดให้เกิดการลงทุนได้อย่างรวดเร็วและให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษสงขลาภายใต้แนวคิดอุตสาหกรรมนิเวศ โดยมีแผนการตลาดและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....