ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 179 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 3561 - 3580 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3561 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเพิ่มเติมว่า
เนื่องจากสถานการณ์ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกรวมถึงค่าบริหารและขนส่งมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้เกษตรกรโคนมรายย่อย (ฟาร์มขนาดเล็ก) ต้องรับภาระต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
จึงเห็นว่าการให้ความช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรโคนมกลุ่มดังกล่าว
แทนการปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบจะเป็นผลดีกับกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า
รวมทั้งจะช่วยผลกระทบกับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม โครงการอาหารเสริม (นม)
โรงเรียนด้วย และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม)
พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3562 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังบุคคลหรือองค์กรที่กำหนด กรณีสาธารณรัฐเฮติ พ.ศ. .... | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังบุคคลหรือองค์กรที่กำหนด
กรณีสาธารณรัฐเฮติ พ.ศ. ....
ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔
ตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังนาย Jimmy Cherizier หรือ Barbeque
และบุคคลหรือองค์กร ตามที่คณะกรรมการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(UNSC) กำหนด
เพื่อให้เป็นไปตามข้อมมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๖๕๓ (ค.ศ.๒๐๒๒)
กรณีสาธารณรัฐเฮติ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3563 | ร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุที่มีศักยภาพและนวัตกรรม พ.ศ. .... | สธ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม
มีสาระสำคัญเป็นการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ ACAI
รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของ ACAI โดยมีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับข้อกฎหมายระหว่างประเทศ
ดังนั้น ร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านฯ จึงเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ซึ่งจะต้องขอความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพัน
แต่ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าส่วนของการสนับสนุนพื้นที่สำนักงานในประเทศไทยและการบริจาคเงินสนับสนุนควรพิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมกับภารกิจที่เป็นการสร้างความรู้
การวิจัย และพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้านระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุอย่างมีศักยภาพและนวัตกรรม ๔. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงอายุที่มีศักยภาพและนวัตกรรม
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3564 | การป้องกันและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันปัญหาการโจรกรรมข้อมูลและการนำข้อมูลส่วนบุคคลมาเปิดเผยมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
อันเป็นการกระทำผิดกฎหมายและสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลและผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก
ดังนั้น จึงขอมอบหมาย ดังนี้ ๑.
ให้รัฐมนตรีทุกท่านกำชับหน่วยงานในความรับผิดชอบให้ระมัดระวังการเก็บรักษา และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่มีอยู่อย่างรัดกุมและมีความปลอดภัย
โดยให้จัดทำระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลให้สามารถป้องกันการโจรกรรมข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลแก่สาธารณชนหรือนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำนาจของหน่วยงานอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้
ให้ทุกหน่วยงานถือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3565 | การกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินโครงการของภาครัฐ | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการของภาครัฐเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
มีประสิทธิภาพ มีการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า เหมาะสม และไม่เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานต่าง
ๆ อันอาจเกิดผลกระทบเสียหายแก่ทางราชการได้ จึงขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเอกชนในการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ต้องกำกับ ติดตาม และเร่งรัดเอกชนคู่สัญญาให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ
เป็นไปตามกรอบระยะเวลาและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในสัญญาอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการดำเนินการและมีวงเงินงบประมาณสูง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3566 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 23 | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC Council) ครั้งที่ ๒๓ เมื่อวันที่
๓ กันยายน ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์)
เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในการประชุมฯ
ได้มีการพิจารณารับรองและเห็นชอบเอกสาร จำนวน ๘ ฉบับ
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ และวันที่ ๒๓
สิงหาคม ๒๕๖๖ เช่น (๑) ยุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน (๒)
ปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม และ (๓)
ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการในการตอบสนองต่อภาวะวิกฤต
รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า ปัจจุบันอาเซียนให้ความสำคัญกับประเด็นเศรษฐกิจดิจิทัล
โดยได้เริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน
ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าภายในอาเซียนให้เอื้อกับการค้ายุคใหม่ที่ปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น
เช่น การอำนวยความสะดวกในการค้าข้ามพรมแดนทางดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การชำระเงิน
และความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3567 | การดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน | กต. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน
และการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงฯ และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในร่างความตกลงฯ
ในช่วงการประชุมระดับรัฐมนตรี IPEF ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้
ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้ผู้แทนดังกล่าวลงนามในร่างความตกลงฯ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารของความตกลงฯ
เมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือแจ้งยืนยันมายังกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่า
ได้ดำเนินกระบวนการภายในประเทศที่จำเป็นสำหรับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
เสร็จสิ้นแล้ว และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารของความตกลงฯ
ให้กับผู้เก็บรักษา (Depositary) ความตกลงฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรืองว่าด้วยความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทาน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ โดยเฉพาะในการดำเนินการตาม Article 8 : IPEF
Labor Rights Advisory Board กระทรวงการต่างประเทศควรหารือกับกระทรวงแรงงานเพื่อสร้างความเข้าใจกับภาคเอกชนที่มีความกังวลในประเด็นดังกล่าว
และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการเสนอรายชื่อผู้แทนของประเทศไทยใน IPEF
Labor Rights Advisory Board เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยสามารถปรับตัว
และได้รับประโยชน์จากความตกลงฯ อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3568 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister: AEM) ครั้งที่ 55 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
ณ เมืองเซอมารัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการประชุม AEM ครั้งที่ ๕๕ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยผลการประชุม AEM ครั้งที่ ๕๕ มีประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจที่อินโดนีเซียผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จในปี
๒๕๖๖ แล้ว ๕ ประเด็น เช่น การจัดทำกรอบอำนวยความสะดวกด้านการบริการของอาเซียน จัดทำความตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนและเสนอต่อผู้นำอาเซียนใน
ASEAN Summit โดยตั้งเป้าหมายการเจรจาให้แล้วเสร็จในปี
๒๕๖๘ จัดทำยุทธศาสตร์อาเซียนเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของภูมิภาคและการพัฒนาทักษะแรงงานใน
๕ อุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ภาคพลังงานและการขนส่ง ภาคการเกษตร
และภาคการจัดการของเสีย และ (๒) เอกสารผลลัพธ์การประชุม โดยที่ประชุม AEM ครั้งที่ ๕๕ ได้รับรองและเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจ จำนวน ๑๓
ฉบับ โดยมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยกรอบการดำเนินงานสำหรับโครงการพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมซึ่งไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๖
เช่น ปรับเพิ่มเนื้อหาในส่วนของเป้าหมายเชิงกลยุทธ์โดยให้เพิ่มเติมถ้อยคำในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงและยืดหยุ่น
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3569 | ทบทวนการพิจารณาการออกสลากการกุศล | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.เห็นชอบการพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง โครงการสลากการกุศล) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยให้ปรับเปลี่ยนข้อเสนอเฉพาะในข้อ ๗.๓.๓ ของหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด
ที่ กค ๑๘๑๗.๒/๙๑๘๘ ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เป็น ดังนี้ เดิม “ในกรณีมีวงเงินโครงการสลากการกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ คงเหลือจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการออกสลากการกุศล ตามข้อ
๗.๑ ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลพิจารณากลั่นกรองจากโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศลที่ได้จัดส่งข้อเสนอมาแล้ว...” เป็น “มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณโครงการสลากการกุศลดำเนินการพิจารณาการออกสลากการกุศลสำหรับโครงการสลากการกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การปรับปรุงหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล)
ที่มีวงเงินคงเหลือ จำนวน ๘๓๘.๖๒ ล้านบาท ตามหลักการและแนวทางการออกสลากการกุศลของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
โดยให้มีการเปิดรับข้อเสนอโครงการที่ขอรับการสนับสนุนเงินจากโครงการสลากการกุศลเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลมีอำนาจกำหนดวงเงินที่จะให้การสนับสนุนแต่ละโครงการ
รวมทั้งความจำเป็นและความพร้อมของการดำเนินโครงการ
เพื่อให้เกิดการกระจายตัวของเงินสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศลและสามารถเบิกจ่ายเงินได้อย่างรวดเร็ว” |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3570 | รายงานสรุปข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | นร.05 | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) ดำเนินการประกาศราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักรตามอำนาจและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนวทางการบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
ข้อ ๓.๕ โดยด่วน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ให้กระทรวงพาณิชย์
(กรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ)
นำเสนอคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพิจารณาทบทวนมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าน้ำตาลทราย
โดยกำหนดมาตรการให้สอดคล้องกับข้อเสนอของคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) และกระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน)
พิจารณามาตรการกำกับดูแลให้มีน้ำตาลทรายในปริมาณที่เพียงพอ สำหรับการบริโภคในประเทศ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการหารือร่วมกันโดยคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อเกษตรกร ผู้ประกอบการ
และผู้บริโภค รวมทั้งต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเร่งส่งเสริมให้เกษตรกรตัดอ้อยสดแทนการเผาเพื่อลดมลพิษทางอากาศจากการเผาอ้อย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3571 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณและขยายระยะเวลาผูกพันปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงาน โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กต. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศรับเรื่องนี้คืนไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อปรับลดวงเงินงบประมาณของโครงการให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3572 | การติดตามความคืบหน้าในการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การจัดทำความตกลงการค้าเสรี
(Free Trade Agreement : FTA) กับประเทศคู่ค้าของไทยให้ได้มากที่สุด จะเป็นกลไกสำคัญในการขยายโอกาสทางการค้า
การลงทุน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้น
จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับเรื่องนี้ไปประสานกับกระทรวงพณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดทำแผนงาน กรอบระยะเวลาการเจรจาและการลงนาม
และกำหนดเวลามีผลใช้บังคับของความตกลงกับประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ
ให้ชัดเจนตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน และขับเคลื่อนตามขั้นตอนให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมตามกรอบระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ต่อไป
ทั้งนี้
ให้เผยแพร่ข้อมูลและผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนทราบอย่างถูกต้องและทั่วถึงตามความจำเป็นและเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3573 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | สปสช. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณพ.ศ. ๒๕๖๗ ภายในวงเงิน ๒๑๗,๖๒๘,๙๕๙,๖๐๐ บาท สำหรับงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๒,๐๘๖,๕๕๘,๘๐๐ บาท นั้น
เห็นสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ให้ตามความจำเป็นเหมาะสม ประหยัดและสอดคล้องกับภารกิจการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งนี้
ขอให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามนัยมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐
แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕
เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข ตลอดจนปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะยังผลประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่ต่อไป และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยืนยันความเห็นเดิม
เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๖ เนื่องด้วยข้อเสนอการขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ในครั้งนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้มีการปรับแก้ไขกรอบวงเงินหรือรายละเอียดสาระสำคัญใด
ๆ จากข้อเสนอในคราวก่อนหน้า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3574 | ร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 30 | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๓o (Joint Ministerial
Statement of the 30th APEC Finance
Ministers’ Meeting) จะจัดขึ้นในวันที่
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกัน
เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของภูมิภาคเอเปคอย่างครอบคลุมและยั่งยืน โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างเป็นรูปธรรม
เช่น (๑) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (๒)
เศรษฐศาสตร์อุปทานสมัยใหม่ (๓) การพัฒนานวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความรับผิดชอบ
และ (๔) การเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ย่อหน้า ๒
น่าจะสามารถเพิ่มถ้อยคำเพื่อย้ำความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายกรุงเทพมหานคร
ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) เพื่อสะท้อนการสานต่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี
๒๕๖๕ และย่อหน้า ๓
ถ้อยคำเรื่องสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเขตเศรษฐกิจเอเปค
ซึ่งคาดว่าน่าจะหมายถึงสถานการณ์รัสเชีย-ยูเครน กระทรวงการต่างประเทศไม่มีข้อขัดข้องหากจะมีการใช้ถ้อยคำเดิม
(Agreed Language) ในประเด็นดังกล่าวตามที่ปรากฏในร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเอเปค
และปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๒ และร่างเอกสารดังกล่าวปรากฏการใช้คำว่า
“Commit” ที่มีลักษณะผูกมัดการดำเนินนโยบายของประเทศ
ซึ่งอาจเกินกว่าแนวทางความร่วมมือภายใต้กรอบ APEC ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล
และการเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงอาจพิจารณาปรับถ้อยคำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรองรับการพัฒนาของเรื่องดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๓๐ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3575 | การเร่งรัดจัดทำกฎหมายว่าด้วยการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษ (ยาบ้า) | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๓ และ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖) มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการทบทวนกฎหมายและอนุบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมดที่อาจเป็นอุปสรรคและส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
และให้พิจารณาการกำหนดปริมาณยาเสพติดในครอบครองของบุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้เสพยาเสพติดที่ต้องรับโทษตามกฎหมายให้ชัดเจน
ครบถ้วน
รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการแผนงาน ประสานงานขับเคลื่อน
และติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในภาพรวม นั้น
โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้หารือกัน เพื่อกำหนดปริมาณยาเสพติด (ยาบ้า)
ในครอบครองของบุคคลที่เข้าข่ายเป็นผู้เสพยาเสพติดหรือเป็นผู้จำหน่ายยาเสพติดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งให้มีการสืบสวนขยายผลไปสู่ต้นตอของผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดทำกฎหมายว่าด้วยการกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษ
(ยาบ้า) และที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3576 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ปปท. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่
.. ) พ.ศ .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๕๑ แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจ
และหน้าที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
ในส่วนที่เกี่ยวกับการคดีทุจริตต่อหน้าที่ที่ต้องดำเนินการแทนตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมอบหมาย
และส่วนการประพฤติมิชอบซึ่งเป็นหน้าที่และอำนาจโดยตรงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3577 | การเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและได้รับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการในหลายด้าน
แต่พบว่ายังมีปัญหาอุปสรรคหลายประการที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของภาคเอกชน
เช่น การรับรู้เกี่ยวกับความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในพื้นที่
สิทธิประโยชน์ การอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ให้กับภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุน
จึงได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานกรรมการ)
มีหน้าที่และอำนาจในการเร่งรัดติดตาม กำกับดูแล
และบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และเสนอแนะนโยบาย มาตรการ และแนวทางปฏิบัติ
พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการลงทุนเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติต่อนายกรัฐมนตรี
ดังนั้น จึงขอให้คณะกรรมการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจดังกล่าวข้างต้น
รวมถึงบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคเอกชนในทุกมิติด้วย
เช่น สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง การอนุมัติ อนุญาต
และการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
เพื่อให้เกิดการลงทุนที่เป็นรูปธรรมของภาคเอกชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3578 | การแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาลทราย | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากปัจจุบันการกำหนดราคาน้ำตาลทรายภายในประเทศไม่สอดคล้องกับราคาในตลาดโลก
อีกทั้งอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยยังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสรรพสามิตในการจัดเก็บภาษีสินค้าเครื่องดื่มตามปริมาณน้ำตาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค
ประกอบกับระบบแบ่งปันผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายที่ใช้มานานจนถึงปัจจุบันสมควรพิจารณาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ต่าง
ๆ ที่เปลี่ยนไปเพื่อให้สามารถคุ้มครองดูแลและแบ่งปันผลประโยชน์ให้เกษตรกรชาวไร่อ้อย
โรงงานน้ำตาล และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งสามารถสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยใช้วิธีการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวอ้อยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน อธิบดีกรมสรรพสามิต และเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นกรรมการ
รวมทั้งมีผู้แทนหน่วยงาน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
โดยให้มีหน้าที่และอำนาจในการศึกษาและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้ครบถ้วนในทุกมิติ
โดยให้นำข้อมูลและข้อเสนอแนะของคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของกระทรวงพาณิชย์มาประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินการในเรื่องดังกล่าวข้างต้นตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3579 | การแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืนขึ้น
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ นั้น
โดยที่ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ในปีนี้เกิดขึ้นเร็วและมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงกว่าในปีที่ผ่านมา
จึงขอให้คณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืนเร่งรัดการดำเนินการจัดทำแผนและมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน
PM25
ทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็วและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3580 | การยกระดับหน่วยงานในการส่งเสริมและกำกับดูแลอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลไทย | นร. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันการผลิตอาหารฮาลาลเพื่อส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศมีมูลค่ามากกว่า
๖ พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เพื่อเป็นการยกระดับการส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยให้เติบโตต่อไป
สมควรจะมีหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจในการส่งเสริมและกำกับดูแลการประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยอย่างเป็นระบบครบวงจรเป็นการเฉพาะ
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับเรื่องนี้ไปประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม
และเป็นไปได้ในการยกระดับหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลและจัดตั้งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจในเรื่องนี้อย่างครบวงจรเป็นการเฉพาะ
เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในภูมิภาคนี้ต่อไป
|