ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1399 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 27961 - 27980 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 27961 | การแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) (นายชัชชัย ภูวิชยสัมฤทธิ์ และนายลลิต ถนอมสิงห์) | กร | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ ดังนี้
๑. นายชัชชัย ภูวิชยสัมฤทธิ์ ดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ (ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ๒. นายลลิต ถนอมสิงห์ ดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ (ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา)
|
|||||||||||||||||||||
| 27962 | ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการ | สม | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กรณีสิทธิในการรับบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการข้าราชการให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึงยิ่งขึ้น ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑.๑.๑ กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนแนวคิดและวิธีจัดบริการและระบบบริการสาธารณสุขของประเทศ บนฐานหลักความเสมอภาค โดยให้ประเภทและมาตรฐานของบริการสาธารณสุขตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นบริการฯ ขั้นพื้นฐานและที่จำเป็นที่ทุกคนไม่ว่าอยู่ภายใต้ระบบบริหารสาธารณสุขใดพึงได้รับโดยไม่เสียค่าบริการ ผู้รับบริการหรือผู้มีสิทธิที่มีกองทุนหรือระบบบริการสาธารณสุขอื่นดูแลโดยเฉพาะ สามารถได้รับบริการสุขภาพหรือสาธารณสุขอื่นเพิ่มเติมได้ ๑.๑.๒ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทบทวนแนวคิดและวิธีการจัดบริการสาธารณสุข โดยแยกบทบาทระหว่างผู้ให้บริการและผู้ซื้อบริการ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบกำหนดนโยบายและหลักเกณฑ์การบริการสาธารณสุข และกระจายอำนาจการบริหารจัดการหน่วยบริการหรือโรงพยาบาลไปยังเขตพื้นที่ ส่วนหน่วยงานที่รับผิดชอบกองทุน/ระบบบริการสาธารณสุข ได้แก่ สปสช. สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลางหรืออื่นใดซึ่งเป็นผู้ซื้อบริการ ให้หารือกระทรวงสาธารณสุข/เขตพื้นที่ ในการกำหนดนโยบายการจัดบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบบริการฯ นั้น ๆ ๑.๑.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. องค์กรกลางบริหารงานบุคคลทุกแห่งหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนนโยบายและแนวคิดว่าด้วยสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด รวมถึงสวัสดิการด้านสุขภาพให้สอดคล้องกับแนวทางตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ข้อ ๑๒ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๕๑ และมาตรา ๘๐ (๒) โดยจัดให้มีกลไกรับผิดชอบดูแลสวัสดิการ และสวัสดิการด้านสุขภาพของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัด เพื่อประกันว่าข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดจะได้รับการดูแลสวัสดิการต่าง ๆ รวมถึงด้านสุขภาพ สาธารณสุข อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐานตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถรองรับการบริการฯ ในโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ใช่โรงพยาบาลรัฐได้ รวมถึงดูแลด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงานหรือสถานประกอบการ และศึกษาเกี่ยวกับการนำระบบ Medisave มาใช้ในระบบสวัสดิการข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นใด ทบทวนการจ่ายเงินให้แก่หน่วยบริการหรือเครือข่ายหน่วยบริการเพื่อจัดบริการสาธารณสุข ซึ่งกำหนดให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร โดยให้แยกค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวออกมาต่างหาก ๑.๑.๕ กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนและผลักดันให้มีการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้รับบริการ เมื่อได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ภายใต้ระบบบริการสาธารณสุขใด ๑.๑.๖ กระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือกันเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ รวมทั้งสวัสดิการด้านสุขภาพสำหรับข้าราชการส่วนท้องถิ่น เช่น จัดตั้งเป็นกองทุนการรักษาพยาบาล ตลอดจนการหาแนวทางเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นสามารถใช้ระบบการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลได้เช่นเดียวกับข้าราชการอื่น ๑.๑.๗ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนนโยบายการปฏิรูประบบสาธารณสุขแก่ผู้บริหารองค์กรด้านสุขภาพ เช่น การตั้งคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติขึ้นมาดูแลระบบสาธารณสุขทั้งหมด ควรตระหนักและให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรสุขภาพหรือคณะกรรมการด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว และให้องค์กรหรือคณะกรรมการดังกล่าว ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนได้ส่วนเสียสำคัญอื่นใดเกี่ยวกับตน เช่น ค่าตอบแทน วิธีการประเมินผลงาน จำนวนบุคลากรในหน่วยปฏิบัติ และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาเรื่อง ๑.๒ ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ๑.๒.๑ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. เร่งรัดการจัดทำและประกาศใช้พระราชกฤษฎีกามาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือ ๑.๒.๒ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ จากที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิรับบริการสาธารณสุขตามกฎหมายอื่นต้องไปใช้สิทธิตามกฎหมายนั้น เป็น ให้ผู้รับบริการต้องใช้สิทธิจากระบบบริการอื่นที่ตนเองมีสิทธิอยู่ก่อน หากสิทธินั้นด้อยกว่าหรือไม่ครอบคลุมเท่ากับสิทธิที่จะได้รับตามระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ได้รับสิทธิเท่ากับที่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด โดยให้ สปสช. รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เป็นส่วนต่าง ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีสิทธิเป็นหลัก ๑.๒.๓ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง ปรับปรุงหรือแก้ไขพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยให้มีคณะกรรมการบริหารจัดระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการหรือกลไกอื่นใด รับผิดชอบบริหารจัดการและควบคุมการเบิกจ่ายค่ายาและค่ารักษาพยาบาล หารือกับผู้ให้บริการ ได้แก่ สาธารณสุขเขตพื้นที่ในการกำหนดประเภทและมาตรฐานบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยไม่ต้องต่ำกว่าบริการฯ ขั้นพื้นฐาน สามารถรับบริการฯ จากโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ ฯลฯ ๑.๒.๔ สปสช. แก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง บุคคลที่ไม่ต้องจ่ายร่วมค่าบริการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเพิ่มสาระสำคัญของบุคคลที่ไม่ต้องร่วมค่าบริการอีก ๑ ข้อ คือ บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร คนเร่ร่อน คนไร้ที่พักพิง และคนไร้รากเหง้า ๑.๒.๕ สปสช. แก้ไขพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๖ ว่าด้วยการจ่ายเงินให้หน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการ โดยให้เปลี่ยนจาก (๒) ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร เป็น (๒) คำนึงถึงค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ (basal utilization) ของโรงพยาบาล และให้แยกบัญชีเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากรออกจากงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ๑.๒.๖ กระทรวงสาธารณสุข ผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ซึ่งให้ผู้เสียหายได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นและเงินชดเชยจากกองทุน โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด เว้นแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตามปกติธรรมดาของโรคนั้น หรือซึ่งหลีกเลี่ยงมิได้เกิดจากการให้บริการสาธารณสุขตามมาตรฐานวิชาชีพ หรือเมื่อสิ้นสุดกระบวนการให้บริการสาธารณสุขแล้วไม่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตตามปกติ ๑.๒.๗ สำนักงานประกันสังคม ผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีเนื้อหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลผู้ประกันตนด้านการป้องกันโรค การให้ผู้ประกันตนซึ่งจงใจหรือยินยอมก่อให้เกิดอันตรายหรือเจ็บป่วย เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ การให้ผู้จ่ายเงินสมทบตามกฎหมายประกันสังคมได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และคลอดบุตรทันที การให้แรงงานนอกระบบ (งานบ้าน) เป็นผู้ประกันตน รวมทั้งการให้ผู้ประกันตนได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นเมื่อได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ หากประเด็นใดได้ดำเนินการอยู่แล้ว ก็ให้เร่งรัดดำเนินการ ส่วนประเด็นใดยังมิได้ดำเนินการ ก็ให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่มีความอ่อนไหว/จำเป็นต้องศึกษาถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน เช่น การผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข และการเสนอให้จ่ายเงินสถานบริการโดยแยกเงินเดือนและค่าตอบแทน เป็นต้น รวมทั้งประเด็นที่มีผลกระทบสูง/อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบการเงินการคลัง เช่น การกำหนดให้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นบริการพื้นฐาน โดยให้ผู้มีสิทธิที่มีกองทุนอื่นดูแลเฉพาะสามารถได้รับบริการเพิ่มเติมขึ้นได้ และการกำหนดให้บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ต้องร่วมจ่าย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย และหากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายเรื่องใด ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันศึกษารายละเอียดและแนวทางการดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 27963 | ขออนุมัติลงนามและดำเนินการให้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (ความตกลงโอนตัวนักโทษ) มีผลใช้บังคับ | กต | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (ความตกลงโอนตัวนักโทษ) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอนและการรับโอนตัวผู้กระทำผิดระหว่างภาคี ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามความตกลงฯ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายสหสาธารณรัฐแทนซาเนียต่อไป ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
| 27964 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. 2556 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 (ขยายระยะเวลาการนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรี อาเซียน ปี 2556) | พณ | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขความใน (๒) ของข้อ ๔ ของประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าทั่วไป ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์การขยายกรอบระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ดังกล่าวให้กับภาครัฐและเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ ตลอดจนควรบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้มงวดกับกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นำเข้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยอาหารของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ในประเทศ รวมทั้งพิจารณามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และพิจารณาให้มีการเพิ่มผลผลิตภายในประเทศโดยการจัดทำโซนนิ่งสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ ต้องดูแลคุ้มครองเกษตรกรและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมให้ได้รับความเป็นธรรมและสามารถเกื้อกูลกันอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 27965 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา | ศธ | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวน ๑๘ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ ประธานกรรมการ ๒. นายชวลิต หมื่นนุช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. พลตำรวจเอก ชาญวุฒิ วัชรพุกก์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. พลตำรวจตรี ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. ศาสตราจารย์นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. ศาสตราจารย์ปรีชา เถาทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. ศาสตราจารย์ลิขิต ธีรเวคิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. ศาสตราจารย์วิชัย ริ้วตระกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. ศาสตราจารย์วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. ศาสตราจารย์ศักดา ธนิตกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. รองศาสตราจารย์ศิโรจน์ ผลพันธิน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. ศาสตราจารย์กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๓. นายสว่าง ภู่พัฒน์วิบูลย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๔. ศาสตราจารย์สุนทร บุญญาธิการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๕. รองศาสตราจารย์อานนท์ เที่ยงตรง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๖. นายวิทยา เจียรพันธุ์ กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน ๑๗. นายอรรถพร สุวัธนเดชา กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑๘. รองศาสตราจารย์สุจิตรา เหลืองอมรเลิศ กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ
|
|||||||||||||||||||||
| 27966 | แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายภาวิช ทองโรจน์ และนายกิตติ ลิ่มสกุล) | นร04 | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน ๒ ราย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายภาวิช ทองโรจน์ ๒. นายกิตติ ลิ่มสกุล
|
|||||||||||||||||||||
| 27967 | น้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเล จังหวัดระยอง | ทส | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบโอมาน (OMAN) ขนาด ๑๖ นิ้ว รั่วขณะขนถ่ายน้ำมันจากเรือขนส่งน้ำมันไปยังโรงกลั่นน้ำมันบริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมัน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เป็นเหตุให้มีน้ำมันดิบโอมานรั่วไหลลงสู่ทะเลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ประมาณ ๕๐ ตัน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ประชุมร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาธารณรัฐสิงคโปร์มาให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาและร่วมกันวางแผนการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันดังกล่าว ซึ่งต่อมากรมควบคุมมลพิษได้รับแจ้งจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และไม่พบคราบน้ำมันบนผิวน้ำ ซึ่งจากการดำเนินงานเป็นเวลา ๒ วัน ได้ใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๒,๐๐๐ ลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้สั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันว่าไม่พบคราบน้ำมันแล้ว และให้ดำเนินการวางทุ่น ๒ ชั้น ตลอดแนวชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะเสม็ดเพื่อป้องกันคราบน้ำมันที่อาจจะยังหลงเหลืออยู่เข้าสู่ชายฝั่ง ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๓ (ชลบุรี) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง ได้ออกสำรวจสภาพพื้นที่ปัญหาคราบน้ำมันเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พบว่า บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด มีการปนเปื้อนของน้ำมันบริเวณหาดและหินตลอดแนวชายหาด ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดระยอง รวมทั้งกองทัพเรือได้สนับสนุนกำลังคนประมาณ ๓๕๐ คน เพื่อร่วมดำเนินการทำความสะอาดชายฝั่งและตักทรายที่ปนเปื้อนน้ำมันบรรจุลงถุง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำมันเพื่อนำไปกำจัด คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณสองสัปดาห์จึงจะแล้วเสร็จ สำหรับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จะนำน้ำมันและทรายปนเปื้อนน้ำมันไปกำจัดโดยวิธีที่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และกรมควบคุมมลพิษจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ต่อไป ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีข้อสั่งการให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพิ่มความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก และจัดทำมาตรการในการแก้ไขปัญหาให้เป็นระบบมากขึ้น และหากพบว่ามีสัตว์น้ำตาย ขอให้ดำเนินการจัดส่งให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งนำไปตรวจพิสูจน์ว่าสาเหตุการตายของสัตว์น้ำมาจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในครั้งนี้หรือไม่ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดระยองได้ประกาศให้บริเวณอ่าวพร้าวเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติทางทะเล ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าวแล้ว ๒. ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลที่จังหวัดระยอง และระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร่งด่วน และให้มีการเตรียมแผนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและทรัพยากรทางทะเล แผนการเยียวยาและชดเชยความเสียหาย ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว ชาวประมง และผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด รวมทั้งให้จัดทำแผนการควบคุมและป้องกันปัญหาน้ำมันรั่วไหลจากการขนส่งน้ำมันในระยะยาว เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นอีก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนดังกล่าวให้กระทรวงพลังงานประสานการดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธานกรรมการ และให้กระทรวงพลังงานกำกับดูแลให้บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินการแก้ไขปัญหาและรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 27968 | สถานการณ์อุทกภัยและดินถล่มในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | นร | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอว่า ขณะนี้ได้เกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่มในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ประสานการดำเนินงานกับรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบแต่ละพื้นที่จังหวัดดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยและได้รับความเดือดร้อนโดยเร่งด่วนและอย่างทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 27969 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 27970 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสุชน ชาลีเครือ , นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ) | ยธ | 25/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุชน ชาลีเครือ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ๒. นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||
| 27971 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 1 | นร11 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสระบุรี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ๑ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศูนย์วัฒนธรรมริมสายน้ำ (หมู่บ้าน ครม. สัญจร) ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวทางน้ำ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี วงเงิน ๒๒.๗๐ ล้านบาท (๓) โครงการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมริมสายน้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี วงเงิน ๒๒.๐๐ ล้านบาท (๔) โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี วงเงิน ๒๒.๐๐ ล้านบาท และ (๕) โครงการก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้และปฏิบัติการภาคสนาม และตลาดราชมงคล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของ ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการบริหารจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำ วงเงิน ๓๖.๑๗ ล้านบาท (๒) โครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน (เพิ่มเติม) ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๒๙.๙๙ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวครบวงจร บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งความจงรักภักดี ทุ่งหันตรา ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๒๙.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับนักท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอพระนครศรีอยุธยา วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดนนทบุรี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๗ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษาอาคารเรียนแบบ สปช. ๒/๒๘ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ต.บางกร่าง อ.เมือง และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย วงเงิน ๑๓.๖๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดโปรดเกษ หมู่ที่ ๒ ตำบลคลองพระอุดม อำเภอปากเกร็ด วงเงิน ๑๗.๕๐ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลี หมู่ที่ ๑ ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด วงเงิน ๒๔.๕๐ ล้านบาท (๔) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองวัดสนามนอก พร้อมสถานีสูบน้ำ ตำบลวัดชลอ อำเภอบางกรวย วงเงิน ๑๘.๐๐ ล้านบาท (๕) โครงการปรับปรุงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะเกร็ด ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด วงเงิน ๑๔.๐๐ ล้านบาท (๖) โครงการเพิ่มศักยภาพพื้นที่ตลาดน้ำไทรน้อยเพื่อการท่องเที่ยว หมู่ที่ ๕ อำเภอไทรน้อย วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และ (๗) โครงการก่อสร้างท่าเรือบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว (ท่าน้ำนนท์ และท่าน้ำบางศรีเมือง) วงเงิน ๖.๕๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดปทุมธานี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหน้าวัดกร่าง หมู่ที่ ๑ ตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคก วงเงิน ๙.๔๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดบางเตยนอก หมู่ที่ ๙ ตำบลบางเตย อำเภอสามโคก วงเงิน ๑๖.๕๒ ล้านบาท และ (๓) โครงการก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์และเขื่อนป้องกันตลิ่งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณชุมชนหลังตลาดเทศบาลเมืองปทุมธานี ตำบลบางปรอก อำเภอเมือง วงเงิน ๗๔.๐๘ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดสระบุรี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๖ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างระบบประปา ในบริเวณหมู่ที่ ๑ บ้านลำสมพุง หมู่ที่ ๒ บ้านโป่งสนวน หมู่ที่ ๓ บ้านเขาช่องลม หมู่ที่ ๘ บ้านโป่งไทร หมู่ที่ ๙ บ้านลำน้ำอ้อย หมู่ที่ ๑๐ บ้านหนองกระทิง ตำบลลำสมพุง อำเภอมวกเหล็ก วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการพัฒนาศูนย์ OTOP คอมเพล็กซ์ สระบุรี ที่บ้านพุแค หมู่ที่ ๑ ตำบลพุแค อำเภอเฉลิมพระเกียรติ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมสายแยก ทล.๓๓๓๔-บ.ถนนโค้ง อำเภอแก่งคอย วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท โครงการศูนย์ส่งเสริมอาชีพไม้ขุดล้อม ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย วงเงิน ๑๒.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสายบ้านหินซ้อน วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท และ (๖) โครงการศูนย์ฝึกอาชีพเศรษฐกิจชุมชนพอเพียงเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ๒. เห็นชอบความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรี ๒.๑ จังหวัดนนทบุรี เห็นควรให้ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลีที่ยังเหลืออยู่ประมาณ ๓๖ เมตร ให้ครบสมบูรณ์ โดยเพิ่มวงเงินอีก ๑๐.๐๐ ล้านบาท เพื่อป้องกันการกัดเซาะตลิ่ง ช่วยเสริมการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของวัดฉิมพลี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญของกลุ่มจังหวัด ๒.๒ จังหวัดปทุมธานี ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานีประสานภาคเอกชนขยายเส้นทางการให้บริการเดินเรือและการท่องเที่ยวให้เชื่อมโยงถึงท่าเรือบริเวณชุมชนหลังตลาดเทศบาลเมืองปทุมธานี เพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดต่อไป ๓. เห็นชอบให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสระบุรี ดำเนินการตามผลการประชุมนายกรัฐมนตรีพบผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ๓.๑ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูบริการจัดการโครงข่ายแหล่งน้ำของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปหารือกับกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยให้ได้ข้อยุติ หากยืนยันว่าโครงการเดิมเป็นประโยชน์ต่อราษฎรในพื้นที่และสามารถดำเนินการได้ตามกำหนดระยะเวลา ให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป แต่หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงโครงการ ให้จัดทำโครงการใหม่เสนอมายังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพิจารณานำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง ๓.๒ โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณวัดฉิมพลี ต.เกาะเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ให้เพิ่มความยาวของเขื่อน จาก ๙๐ เมตร เป็น ๑๒๖ เมตร โดยเพิ่มวงเงินให้อีก ๑๐.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินในโครงการ ๓๔.๕๐ ล้านบาท สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารเรียนระดับประถมศึกษา อาคารเรียนแบบ สปช. ๒/๒๘ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๕๕ (วัดโบสถ์ดอนพรหม) ต.บางกร่าง อ.เมือง และโรงเรียนวัดเสนีวงศ์ หมู่ที่ ๙ ตำบลหนองเพรางาย อำเภอไทรน้อย ให้ปรับแผนเจียดจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓.๓ โครงการปรับปรุงเส้นทางขนส่งสินค้าอุตสาหกรรม อำเภอแก่งคอย และโครงการปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสายบ้านหินซ้อน ให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ และให้จังหวัดสระบุรีนำโครงการถนนสายวัฒนธรรมไท-ยวน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งภาคเอกชนเสนอในการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชน วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท มาดำเนินการแทน
|
|||||||||||||||||||||
| 27972 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" | สสป | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายแอลกอฮอล์เพื่ออนาคตเยาวชนไทย" โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เร่งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตัวบทกฎหมายหรืออนุบัญญัติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แผนงาน และการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ควรเร่งผลักดันให้มีการบังคับใช้ ได้แก่ การกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา การกำหนดหรือการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เยาวชน และการปรับปรุงเนื้อหาอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการห้ามโฆษณาเพียงบางส่วนเข้มข้นขึ้น ๑.๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และกำหนดมาตรการลงโทษในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ควรเพิ่มระดับความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเนื่องจากเป็นแนวทางที่มีประสิทธิผลในการจัดการปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งกับเยาวชนและสังคมในภาพรวม ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดประสิทธิผลได้ หากการบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีความเข้มงวดในข้อห้าม ๔ ประการ ได้แก่ การห้ามขายผู้ที่อายุต่ำกว่า ๒๐ ปี การห้ามขายนอกเวลาที่กำหนด การห้ามขายและห้ามดื่มในสถานที่ที่กำหนด และการเปิด-ปิดสถานบันเทิงตามเวลาที่กำหนด ๑.๓ ขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เต็มเพดาน เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างประเภทเครื่องดื่ม และเพื่อเพิ่มรายได้ให้รัฐ เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว สามารถช่วยอุดช่องว่างการเก็บอัตราภาษี ณ ปัจจุบัน โดยยังไม่จำเป็นต้องรื้อหรือปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการที่ไม่ซับซ้อน แต่สามารถช่วยเพิ่มรายได้ภาษีสรรพสามิตให้กับรัฐได้ ๑.๔ เตรียมการรองรับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยยืนยันตามมติคณะรัฐมนตรีในการไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นรายชื่อสินค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี และยืนยืนมติคณะรัฐมนตรีในการถอน (Bracketing) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบริการที่เกี่ยวข้องออกรายชื่อสินค้าในข้อตกลงการเจรจาการค้าที่ได้ลงนามและมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีที่รับรองมติสมัชชาสุขภาพครั้งที่ ๒ มติ ๕ ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ ในยุทธศาสตร์ที่ ๕ ที่ว่าด้วยมาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้า ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขที่มีข้อสังเกตว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ เกี่ยวกับมาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศในการไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นรายชื่อสินค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี นั้น อาจมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ ไปพิจารณา หากมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ก็ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 27973 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | พน | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี)
|
|||||||||||||||||||||
| 27974 | งบการเงินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย | กค | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) (ระหว่างชำระบัญชี) และงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (ระหว่างชำระบัญชี) ที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา ๙๐ แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานของผู้สอบบัญชี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่างบการเงินของ บสท. สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (ระหว่างชำระบัญชี) แสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และผลการดำเนินงาน (เฉพาะทุนประเดิม) และงบกระแสเงินสดโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามเกณฑ์การชำระบัญชี ๒. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ บสท. มีสินทรัพย์ ๓๑๕,๗๓๒ ล้านบาท หนี้สิน ๑๕,๙๗๐ ล้านบาท ส่วนของเจ้าของ ๑,๓๗๔ ล้านบาท และรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ๒๙๘,๓๘๘ ล้านบาท ๓. งบรายรับหรือรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ บสท. มีรายรับจากการบริหารสินทรัพย์รับโอน ๕๑,๒๘๒ ล้านบาท และรายจ่ายในการบริหารสินทรัพย์รับโอน ๑,๑๗๓ ล้านบาท จึงมีรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ๕๐,๑๐๙ ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดสะสมของรายรับและรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอนตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีรายรับ ๓๓๐,๘๓๓ ล้านบาท และรายจ่าย ๓๒,๔๔๕ ล้านบาท จึงมีรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน ๒๙๘,๓๘๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 27975 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. กรณีประกาศการขอจดทะเบียนสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดก ตามมาตรา ๘๑ วรรคสอง ซึ่งให้ประกาศโดยทำเป็นหนังสือปิดไว้ในที่เปิดเผยมีกำหนดสามสิบวัน ณ สำนักงานที่ดิน สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ทำการแขวงหรือที่ทำการกำนัน ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านแห่งท้องที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ และบริเวณอสังหาริมทรัพย์นั้น แห่งละหนึ่งฉบับ นั้น โดยที่ในปัจจุบันได้มีการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้อย่างแพร่หลาย จึงเป็นการสมควรที่กรมที่ดินจะได้ดำเนินการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อรองรับให้สามารถประกาศทางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของสำนักงานที่ดินที่อสังหาริมทรัพย์อยู่ในเขตท้องที่ได้ครอบคลุมทุกสำนักงานที่ดิน ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการประกาศดังกล่าวให้กับประชาชนที่เกี่ยวข้องได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ๒. การปิดประกาศที่ออกตามความในประมวลกฎหมายที่ดิน ให้กรมที่ดินดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา ๘๑ ที่กำหนดให้ปิดประกาศเพิ่ม ณ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านแห่งท้องที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน
|
|||||||||||||||||||||
| 27976 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำน้ำเสียวใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำน้ำเสียวใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำน้ำเสียวใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 27977 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง พ.ศ. .... | มท | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลชะมวง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 27978 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาน้ำอูน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาน้ำอูน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ขวา และคลองซอย ๑๓ ซ้าย ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 27979 | การมอบหมายให้รักษาราชการแทน (กระทรวงมหาดไทย) | มท | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการในการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย ดังนี้
๑. นายประชา ประสพดี ๒. นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์
|
|||||||||||||||||||||
| 27980 | รายงานสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงมหาดไทย | มท | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงมหาดไทย ดังนี้
๑. น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักยึดในการพัฒนาหมู่บ้าน การสร้างความรักความสามัคคี ความสมานฉันท์ของประชาชนในหมู่บ้าน ๒. บริหารจัดการหมู่บ้านอย่างมีเอกภาพ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นแกนหลักการขับเคลื่อน หลอมรวมผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา ผู้นำตามธรรมชาติ เพื่อบริหารงานหมู่บ้านในรูปของคณะกรรมการหมู่บ้าน ๓. สร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อการพูดคุย แลกเปลี่ยน รับทราบปัญหา และความต้องการของผู้มีความคิดเห็นแตกต่าง ผู้เสียหาย ผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ ลดความหวาดระแวง และตระหนักในคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน ภายใต้ความหลากหลายของวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ๔. เสริมสร้างความเข้าใจ สร้างความไว้วางใจ ขจัดเงื่อนไขและสาเหตุที่ส่งผลให้ประชาชนเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจและหวาดระแวงเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อฟื้นคืนความไว้วางใจ ระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ๕. พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน และการเสริมสร้างเครือข่ายงานข่าวภาคประชาชน เพื่อให้หมู่บ้านมีศักยภาพในการรักษาความสงบเรียบร้อย และสามารถป้องกันตนเองและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนได้รับการพัฒนาทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา รวมทั้งการช่วยเหลือกลุ่มด้อยโอกาส ๗. เพิ่มบทบาทของประชาชน ภาคประชาสังคม กลุ่มและองค์กรในหมู่บ้านในการคุ้มครองดูแลทรัพยากรและการป้องกันภัยแทรกซ้อนในหมู่บ้าน ๘. ให้ทุกหน่วยงานเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๘.๑ หลักการสำคัญในการขับเคลื่อนหมู่บ้านเข้มแข็งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ หลักการปรึกษาหารือแบบใจเปิดกว้าง และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย หลักระบบข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน และมีแผนดำเนินการ หลักคุณธรรม ความยืดหยุ่น และเคารพปกป้องความแตกต่าง หลักการแบ่งความรับผิดชอบเป็นคุ้มบ้าน โซน หลักการใช้ทุนของชุมชนอย่างครอบคลุม ครบถ้วน หลัก กฎ ระเบียบ กติกาที่ชัดเจน และหลักกระบวนการกลุ่มที่เข้มแข็ง และมีเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ๘.๒ เป้าหมายการขับเคลื่อนหมู่บ้านเข้มแข็งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ เกิดความสมานฉันท์ระหว่างประชาชนในหมู่บ้านด้วยกันเอง และประชาชนในหมู่บ้านกับทุกภาคส่วนภายนอกหมู่บ้าน ขจัดความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐและระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ขจัดอคติและความเกลียดชังระหว่างประชาชนในสังคมพหุวัฒนธรรม เกิดความปลอดภัยและความมั่นใจในอำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว พัฒนาองค์กรในหมู่บ้านให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สามารถใช้อำนาจหน้าที่ได้เต็มศักยภาพ รวมทั้งประชาชนในหมู่บ้านมีความสงบสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
|
|||||||||||||||||||||
.....
