ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 34 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 671 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 | รง. | 12/12/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีข้อสังเกตว่า
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๗ ที่เสนอในครั้งนี้ คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่
๒๒ ได้กำหนดสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยนำเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เช่น อัตราค่าจ้างขั้นต่ำปัจจุบัน อัตราการเปลี่ยนแปลงของผลิตภาพแรงงานจังหวัด
เฉลี่ย ๕ ปี (ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔) อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย ๕ ปี (ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๖)
มาประกอบการพิจารณา อย่างไรก็ตาม โดยที่ในช่วงปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔
ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
ดังนั้น การนำข้อมูลในช่วงเวลาที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ดังกล่าว มาใช้ประกอบการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ปี ๒๕๖๗ ด้วย
อาจไม่สะท้อนถึงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันอย่างแท้จริง
จึงเห็นควรให้มีการพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๗ ใหม่อีกครั้ง
เพื่อให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้ใช้แรงงานในภาพรวมมากยิ่งขึ้น
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแจ้งข้อสังเกตดังกล่าวต่อคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่
๒๒ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 8 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กค. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๘ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ซึ่งเป็นการรายงานความเป็นมาและข้อเท็จจริง
รายละเอียดของการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการกู้เงินฯ เพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้ และรายละเอียดโครงการรวมถึงผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่จะได้รับของโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 12/2566 | นร.11 สศช | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุม
ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๖ โดยอนุมัติให้จังหวัด
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ
eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
และมอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากแหล่งเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และอยู่ระหว่างดำเนินการให้เร่งรัดการดำเนินงานและต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้
เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการต่อไปให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
โดยใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่นต่อไปตามนัยมติเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๖ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจังหวัดยะลา จำนวน ๓ โครงการ จังหวัดหนองบัวลำภู
จำนวน ๑ โครงการ จากเดิมที่เสนอไว้ให้สิ้นสุดวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ
และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้
และจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
เป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | มาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566) | กค. | 26/09/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs)
ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล
รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ผู้เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม
เพิ่มรายได้” และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๙๖ ล้านบาท โดยมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ควรคัดกรองผู้ที่เข้าร่วมโครงการให้เป็นลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนทางด้านสภาพคล่องอย่างแท้จริง
เพื่อมิให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ เกิดแรงจูงใจที่จะไม่ชำระหนี้
และมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีข้อมูลของเกษตรกร
ร่วมกันประเมินสภาพปัญหาของผู้ที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ
และกำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมแก่สภาพปัญหาของเกษตรกรแต่ละราย
ควรมีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพยังชำระหนี้ต่อเนื่อง
โดยออกแบบมาตรการที่ให้ผลตอบแทนแก่ลูกหนี้มากพอที่จะยังชำระหนี้ต่อ
รัฐจะต้องให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และสื่อสารทำความเข้าใจกับลูกหนี้ถึงเจตนารมณ์และเงื่อนไขของโครงการอย่างชัดเจน
ครบถ้วน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | เรื่องต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ | นร. | 13/09/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. เรื่อง
การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘
กรกฎาคม ๒๕๖๗ มติ
มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับเรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เรื่อง
การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๖๐ มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย)
พิจารณาดำเนินการในประเด็นการแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทั้งนี้ โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์
และให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วนในการออกแบบกฎ
กติกาที่เป็นประชาธิปไตย ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน
ตลอดจนสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา
เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
รวมทั้งเป็นไปตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๖
ด้วย ๓. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน มติ
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่องต่าง ๆ
ในความรับผิดชอบที่เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการของภาครัฐที่มีผลกระทบต่อการอำนวยความสะดวกและการให้บริการประชาชน
รวมถึงการอนุมัติ อนุญาตแก่ภาคเอกชน โดยให้คงอยู่ไว้เฉพาะเท่าที่จำเป็น
และหากเรื่องใดที่ไม่มีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดเงื่อนไขไว้
ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ โดยไม่ต้องขออนุมัติ ขออนุญาต ทั้งนี้
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรับแจ้งยืนยันการคงอยู่ของมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบที่สมควรให้มีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป
ต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๖
หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่ามติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้น ๆ มีผลสิ้นสุดไป
รวมทั้งให้นำแนวทางข้างต้นไปใช้กับการพิจารณาการตรากฎหมายในระดับต่าง ๆ ด้วย ๔. เรื่อง การทบทวนประกาศ
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ยังคงมีผลใช้บังคับในปัจจุบัน มติ
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนความจำเป็น
เหมาะสมของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับต่าง ๆ
ที่ยังคงมีผลใช้บังคับในปัจจุบัน
โดยหากประกาศหรือคำสั่งใดสมควรให้คงมีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป หรือสมควรยกเลิก
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนภายในวันที่ ๙ ตุลาคม
๒๕๖๖ ๕. เรื่อง นโยบายการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet มติ มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมหารือของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อศึกษารายละเอียดของแนวทางในการดำเนินนโยบายการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ให้ชัดเจน
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ๖. เรื่อง
การพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ มติ มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เป็นระยะเวลา ๓ ปี และ ๑ ปี ตามลำดับ
โดยให้เสนอมาตรการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๒ สัปดาห์ ๗. เรื่อง นโยบายด้านพลังงาน มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการลดราคาพลังงานให้ครอบคลุมทั้งค่าไฟฟ้า
ค่าก๊าซหุงต้ม และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจ
แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ๘. เรื่อง
การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ มติ
มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นรองประธานกรรมการ
นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษาและกรรมการ นายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
เป็นกรรมการ และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
เพื่อดำเนินงานต่อไป ๙. เรื่อง การเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์และผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ
(El Nino) และลานีญา (La
Nina) มติ
มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นรายจังหวัด
เป็นเรื่องเร่งด่วน โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
เป็นประธานกรรมการ นายปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม
เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
เพื่อเป็นกลไกในการพิจารณาเตรียมการรองรับสถานการณ์และผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ
(El Nino) และลานีญา (La
Nina) ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ๒-๓ ปีข้างหน้า ๑๐. เรื่อง
นโยบายด้านการประมง มติ
มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูทะเลไทยเพื่อความยั่งยืนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) เป็นประธานกรรมการ นายปลอดประสพ
สุรัสวดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ
และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมประมงให้เป็นระบบและครบวงจร
โดยให้คำนึงถึงการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนด้วย ๑๑. เรื่อง
นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (๓๐ บาทรักษาทุกโรค) มติ
มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกระดับการดำเนินโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
(โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค) โดยด่วน
เพื่อพิจารณาดำเนินการปรับปรุงระบบสาธารณสุขของประเทศให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ
และสามารถให้บริการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ๑๒. เรื่อง
นโยบายการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน
ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว
(Visa Free) สำหรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถานเป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว
เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ
รวมทั้งพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขและขั้นตอนการเข้าประเทศสำหรับผู้ที่เข้ามาจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการ
โดยให้มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๖ ๑๓. เรื่อง
การปราบปรามผู้มีอิทธิพล มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลการครอบครองและพกพาอาวุธปืน
ยาเสพติด การรับสินบน และการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยการครอบครองและพกพาอาวุธปืนและอาวุธอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
ควรกำหนดให้ผู้ครอบครองนำมามอบแก่ทางราชการที่สถานีตำรวจในภูมิลำเนาภายใน ๓๐ วัน
ส่วนอาวุธปืนและอาวุธอื่น ๆ ที่มีทะเบียนถูกต้อง
หากผู้ครอบครองจำเป็นต้องพกพาให้ดำเนินการขออนุญาตพกพาภายใน ๓๐ วัน
นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้
ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๑๔. การปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ มติ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง
(กรมบัญชีกลาง) เร่งศึกษาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และรายละเอียดในการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการโดยแบ่งจ่ายเป็น ๒ รอบ
เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการ
ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการพิจารณาดำเนินการเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ภายในวันที่ ๑
มกราคม ๒๕๖๗ ๑๕. เรื่อง
การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ มติ
มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในกำกับดูแลให้ถูกต้อง
เหมาะสม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของภารกิจที่กำหนดไว้
บนพื้นฐานของความจำเป็นและประหยัดอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางไปร่วมประชุม สัมมนา ดูงาน
ของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงาน ๑๖. เรื่อง
การลดขนาดขบวนรถเดินทางของรัฐมนตรี มติ มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านพิจารณาปรับลดจำนวนคนและรถนำขบวนให้เหมาะสมเท่าที่จำเป็น
เพื่อให้เกิดผลกระทบด้านการจราจรกับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนให้น้อยที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 11/2566 | นร.11 สศช | 29/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ เห็นชอบ และรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม
๒๕๖๖ โดย คกง.
มีมติเกี่ยวข้องกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยอนุมัติให้กรมควบคุมโรคเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย
จำนวน ๖๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca) ปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
(COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย จำนวน ๓๐,๐๐๒,๓๑๐ โดส (Pfizer) ปี พ.ศ.
๒๕๖๕ ของกระทรวงสาธารณสุข โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการจากเดือนกันยายน
๒๕๖๖ เป็นเดือนมีนาคม ๒๕๖๗ อนุมัติให้จังหวัดเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๗ จังหวัด ๙ โครงการ กรอบวงเงิน ๗๔.๑๓๖๓ ล้านบาท
มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับจากคณะรัฐมนตรี
รายงานผลสัมฤทธิ์และคืนเงินกู้เหลือจ่าย (ถ้ามี) ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๘ (๑ พฤษภาคม-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖) ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า
มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่ได้กำหนดไว้
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน ๓ เดือน
นับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖
เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๕
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | สธ. | 08/08/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง รายการค่าใช้จ่าย ในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ จำนวน ๒,๙๙๕,๙๕๗,๐๔๕.๕๙ บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนเสี่ยงภัยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานระหว่างเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๔-เดือนมิถุนายน ๒๕๖๕
ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๒/๑๓๑๐๕ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖) เนื่องจากวงเงินที่อนุมัติเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่าย
ในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (ฉบับที่
๓) พ.ศ. ๒๕๖๖ ข้อ ๓ และระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการค่าใช้จ่าย ในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ.
๒๕๖๓ ข้อ ๘ (๓) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2566 | นร.11 สศช | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติมพ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๖ โดยอนุมัติให้จังหวัด
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ
eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และอยู่ระหว่างดำเนินการให้เร่งรัดการดำเนินงานและต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
โดยในกรณีที่หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถดำเนินงานและเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ
ให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการเร่งเสนอเรื่องขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนข้อ
๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯเพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ เร่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามข้อ ๒๒
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พร้อมทั้งจัดทำรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามหลักเกณฑ์
วิธีการ
และแนวทางในการประเมินผลผลิตและผลลัพธ์ของโครงการตามที่กระทรวงการคลังกำหนดต่อไป ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และข้อ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
เพื่อส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายที่มีบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน ๓ เดือน
นับจากวันสิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ และในกรณีที่หน่วยงานพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการ
แผนงาน/โครงการได้ตามเป้าหมาย ให้เร่งดำเนินการขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการตามขั้นตอนข้อ
๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2566 | นร.11 สศช | 18/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
(คกง.) ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ โดย คกง.
มีมติเกี่ยวข้องกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๖ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ จังหวัด รวม ๒ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๒๒.๘๘๕๐
ล้านบาท ได้แก่ ยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน ๑ จังหวัด (จังหวัดน่าน) จำนวน ๑
โครงการ และขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ จำนวน ๑
จังหวัด (จังหวัดตรัง) จำนวน ๑ โครงการ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการ คกง. เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงมหาดไทยควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2566 | นร.11 สศช | 06/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๗/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ โดยอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ โดยขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ จากเดือนธันวาคม ๒๕๖๕ เป็นเดือนกันยายน ๒๕๖๖ และเพิ่มจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการ
อนุมัติให้จังหวัด เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
เร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และอยู่ระหว่างดำเนินการให้เร่งรัดการดำเนินงานและต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขในกรณีที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ไม่สามารถดำเนินงานและเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการโดยใช้จ่ายจากแหล่งอื่นต่อไป
และอนุมัติการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เรื่อง
ผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๖
และเรื่องผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๖
ในส่วนของการขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ ของกระทรวงมหาดไทย จากเดิมเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ เป็นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้อีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน ๓
เดือนนับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๖ เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย
และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2566 | นร.11 สศช | 06/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๖
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖ รับทราบรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ราย ๓ เดือน
ครั้งที่ ๑๒ (๑ กุมภาพันธ์-๓๐เมษายน ๒๕๖๖) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ไปพิจารณาดำเนินการต่าง
ๆ เช่น การเสนอโครงการ ควรพิจารณาขอบเขตและแนวทางการดำเนินโครงการอย่างรอบคอบ
การดำเนินโครงการ
ควรพิจารณาทบทวนกรอบการดำเนินงานหรือกิจกรรมควบคู่กับระยะเวลาการดำเนินงานและแผนการบริหารจัดการความเสี่ยง
การติดตามและประเมินผลโครงการ ควรให้ความสำคัญกับการติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมถึงให้ความร่วมมือในการจัดส่งข้อมูลของโครงการข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน
ไปปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการตามข้อเสนอแนะและความเห็นของคณกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
กฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2566 | นร.11 สศช | 06/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๘/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖ โดยรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน (๑ กุมภาพันธ์-๓๐ เมษายน ๒๕๖๖)
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ เช่น
กรณีโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ หน่วยงานที่ดำเนินโครงการแล้วเสร็จ
ควรเร่งดำเนินการคืนวงเงินเหลือจ่าย
โดยควรตรวจสอบความถูกต้องของการเบิกจ่ายให้ครบถ้วน
ก่อนจัดส่งรายงานผลสำเร็จของโครงการให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) โดยเร็ว ตามข้อ
๒๑ และ ๒๒ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
โครงการของส่วนราชการที่มีสถานะอยู่ระหว่างดำเนินการที่มีความก้าวหน้าการเบิกจ่ายน้อย
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการควรเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนที่ได้รับอนุมัติขยายเวลาแล้ว
และควรรายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการติดตามและบริหารงานโครงการ
เป็นต้น ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ.
๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้อีก หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน
๓ เดือนนับจากวันที่สิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2566 | นร.11 สศช | 16/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๕/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๖ โดยอนุมัติให้จังหวัดเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
๕๘ โครงการ กรอบวงเงิน ๒๑๙.๓๐๕๐ ล้านบาท มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย
เร่งดำเนินการประสานจังหวัดในการตรวจสอบการดำเนินโครงการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในกรณีที่จังหวัดไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีให้จังหวัดเร่งดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
และ/หรือเสนอขอยกเลิกการดำเนินโครงการตามขั้นตอนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
รายงานผลสัมฤทธิ์และคืนเงินกู้เหลือจ่าย (ถ้ามี)
ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงต้นสังกัดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ชาติ เช่น ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม ๒๕๖๔ เป็นไปตามเป้าหมาย และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 6/2566 | นร.11 สศช | 16/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๖ ประกอบด้วย (๑) อนุมัติให้สถาบันวัคซีน เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและทดสอบวัคซีน
และเภสัชภัณฑ์ในลิงมาร์โมเส็ท และโครงการศึกษาความปลอดภัย (Safety) ความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Immunogenicity) และประสิทธิภาพ (Vaccine Efficacy) ของแคนดิเดตซับยูนิตวัคซีน
สำหรับป้องกันโรคโควิด-๑๙
ที่ใช้พืชเป็นแหล่งผลิตในมนุษย์ระยะที่ ๒a โดยขยายระยะเวลาดำเนินโครงการทั้งสอง
เป็นสิ้นสุดภายในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ (๒) มอบหมายให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานดำเนินโครงการจัดทำรายงานความก้าวหน้าของโครงการและแผนการดำเนินงานที่ได้มีการปรับแผนพร้อมการบริหารความเสี่ยง
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการดำเนินโครงการฯ จะสามารถแล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
(๓) อนุมัติให้จังหวัดเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ
๔๑ โครงการกรอบวงเงิน ๒๐๓.๒๔๗๖ ล้านบาท (๔) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการประสานจังหวัดในการตรวจสอบการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการโดยใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยกรณีที่จังหวัดไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี
ให้เร่งรัดจังหวัดดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการและ/หรือเสนอขอยกเลิกการดำเนินโครงการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ต่อไป และ (๕) มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการ
เร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
พร้อมทั้งเร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงต้นสังกัดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด
เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามที่กำหนดไว้
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | รายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รอบ 6 เดือน ครั้งที่ 1 | กค. | 09/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ รอบ ๖ เดือน
ครั้งที่ ๑ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
การติดตามประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดฯ มีโครงการทั้งสิ้น ๒,๔๗๔ โครงการ
ประกอบด้วย ๓ แผนงาน ได้แก่ (๑) เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) (๒) เพื่อช่วยเหลือ
เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ และ (๓)
เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ ๒. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกลุ่มที่ปรึกษาภายใต้โครงการและแผนงานภายใต้พระราชกำหนดฯ
ได้จัดทำรายงานผลฯ ซึ่งคณะกรรมการประเมินผลการใช้จ่ายเงินตามพระราชกำหนดฯ
ได้เห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
โดยคัดเลือกโครงการที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมที่แล้วเสร็จ จำนวน ๑๐ โครงการ
มีกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ๑๘๔,๔๑๐.๔๔ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายรวม ๑๘๓,๔๙๑.๓๐
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๕๐ ของกรอบวงเงิน โดยทั้ง ๑๐ โครงการ
มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก ช่วยให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
จำนวน ๔๒,๓๒๒.๒๒ ล้านบาท
และมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่คาดว่ารัฐจะได้กลับคืนสูงสุดภายใน ๓ ปี จำนวน ๘,๑๖๘.๒๓ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | รายงานการประเมินผลโครงการในภาพรวม รอบ 6 เดือน ครั้งที่ 3 และรายงานการประเมินผลลัพธ์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | กค. | 09/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลโครงการในภาพรวม รอบ ๖ เดือน
ครั้งที่ ๓ และรายงานการประเมินผลลัพธ์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
พ.ศ. ๒๕๖๓ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ (๑) รายงานประเมินผลโครงการในภาพรวม รอบ ๖
เดือน ครั้งที่ ๓ โดยผลการประเมินในภาพรวมฯ พบว่า
เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ๓,๑๘๔,๓๘๕.๓๔ ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ๗๙๖,๘๔๙.๕๓ ล้านบาท และสามารถรักษาการจ้างงาน ๒๐.๕๑ ล้านอัตรา
อีกทั้งผลการประเมินในด้านความสอดคล้องและความเชื่อมโยง ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
ผลกระทบและความยั่งยืน มีผลการดำเนินงานอยู่ในระดับดีมาก
และผลการประเมินในระดับแผนงานมีผลการดำเนินอยู่ในระดับดีมาก ได้แก่
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-๑๙
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน
เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-๑๙ เช่น โครงการ “โคก หนอง นาโมเดล” (๒)
รายงานการประเมินผลลัพธ์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ
โดยใช้ ๓ แบบจำลอง ได้แก่ แบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค ใช้ประเมินผล เช่น ผลกระทบต่อ
GDP เพิ่มขึ้น ๐.๘๐ ล้านล้านบาท แบบจำลองดุลยภาพทั่วไปเชิงพลวัติ
ใช้ประเมินผล เช่น มูลค่า Real GDP เพิ่มสูงขึ้น ๑๗๑,๗๔๑.๕๓ ล้านบาท และแบบจำลองปัจจัยการผลิต ใช้ประเมินผล เช่น
เงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ๓,๑๘๔,๓๕๘.๓๔
ล้านบาท สร้างมูลค่า GDP ๗๙๖,๘๔๙.๕๓
ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน | นร. | 09/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีพิจารณาเห็นว่า
สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำรงชีวิต
การประกอบอาชีพการทำงานเพื่อหารายได้สำหรับตนเองและครอบครัว
นอกจากมีประชาชนจำนวนมากต้องตกงานแล้ว
นักเรียน/นักศึกษาที่เพิ่งจบการศึกษาทั้งในระดับอุดมศึกษาและระดับที่ต่ำกว่า
ทั้งในสายสามัญและวิชาชีพก็มีแนวโน้มที่จะตกงานเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งอาจเนื่องมาจากปริมาณและคุณภาพของผู้จบการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและแนวทางการทำงาน/การประกอบอาชีพในปัจจุบันซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก
รวมทั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันก็มีผลทำให้ความต้องการแรงงานและประเภทของแรงงานมีความแตกต่างหลากหลายมากขึ้นด้วย
ดังนั้น ๆ หน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องควรต้องศึกษาและตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้จบการศึกษาในแต่ละสาขาวิชา
ภาวะการว่างงานและการมีงานทำของประชาชนให้ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นปัจจุบัน
รวมทั้งพิจารณาทบทวนแนวทางการจัดการศึกษา การเรียนการสอน การฝึกอบรม
และการฝึกฝีมือแรงงาน เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาและผู้ใช้แรงงาน
ตามแต่กรณีมีความรู้ความสามารถ คุณวุฒิ ทักษะ และประสบการณ์ในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความถนัดและตอบสนองในการพัฒนาประเทศในภาพรวมด้วย
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแนวทางข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้นรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | รายงานสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงฤดูร้อนปี 2566 | พน. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงฤดูร้อนปี
๒๕๖๖ และแนวทางการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย
โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๓๐๐ หน่วยต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖
กับให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๕๐๐ หน่วยต่อเดือน จำนวน ๑๕๐ บาทต่อราย ในรอบบิลเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า
๑.๑ กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศ
ในการคำนวณสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศที่ถูกต้องจะต้องคำนวณจากปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาได้จริง
(Dependable Capacity) ของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภท (เช่น
โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์)
โดยไม่สามารถนำผลรวมของกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทดังกล่าวที่มีกำลังผลิตต่างกันมารวมกันเพื่อคำนวณเป็นสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองได้โดยตรง
โดยในปี ๒๕๖๕ ประเทศไทยมีสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอยู่จริงที่ประมาณร้อยละ ๓๕-๓๖
เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ
เนื่องจากการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าจริงในปีที่ผ่านมาลดลง
และทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในอนาคตความต้องการไฟฟ้าของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการขนส่งมวลชนที่ใช้ไฟฟ้า
นอกจากนี้
เมื่อประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นก็จะมีส่วนทำให้ต้องมีสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มขึ้นด้วย ๑.๒ การเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด/พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง
โดยดำเนินโครงการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีต้นทุนต่ำและเป็นการรับซื้อไฟฟ้าที่ไม่มีค่าความพร้อมจ่าย
(Availability Payment) รวมทั้งเป็นการดำเนินการที่สนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี
ค.ศ. ๒๐๕๐ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. ๒๐๖๕
ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในเวทีโลกและเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า
โดยเฉพาะภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสากลในการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องระบุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไฟฟ้าที่ใช้ผลิตสินค้าและบริการ
เพราะหากไม่ดำเนินการตามมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการไทยจะมีต้นทุนส่งออกที่สูงขึ้นและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ทั้งนี้
ในการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศนั้นเป็นการดำเนินการเพื่อทดแทนกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ปลอดระวางตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
เพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งไม่ทำให้สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยเพิ่มขึ้น ๑.๓ อัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ที่เพิ่มขึ้น
องค์ประกอบหลักของอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft)
ได้แก่ (๑) ค่าเชื้อเพลิง และ (๒) ยอดสะสมยกมาจากงวดที่ผ่านมา
รวมถึงภาระต้นทุนคงค้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
โดยในส่วนของค่าเชื้อเพลิงประเทศไทยต้องนำเข้าเชื้อเพลิงโดยอ้างอิงราคาในตลาดโลกเป็นหลัก
โดยในปี ๒๕๖๔ ราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น
ซึ่งภาครัฐได้พยายามตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม
เมื่อเกิดวิกฤตพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ทำให้ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นมากและไม่สามารถตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ในภาพรวมต่อไปอีก จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่แท้จริง อย่างไรก็ดี
รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนแบบพุ่งเป้าอย่างต่อเนื่องต่อไป
แม้ว่าปัจจุบันราคาเชื้อเพลิงได้ปรับตัวลดลงบ้างแล้ว แต่การจัดหาเชื้อเพลิงต้องมีระยะเวลาในการส่งมอบสินค้า
(Lead Time) ทำให้ไม่สามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ
(ค่า Ft) ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้
คาดว่าจะสามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ให้ลดลงได้ในช่วงปลายปี ๒๕๖๖ เป็นต้นไป สำหรับภาระต้นทุนคงค้างของ กฟผ.
ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการที่ กฟผ.
ได้ช่วยสนับสนุนการตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) มาอย่างต่อเนื่อง
จึงจำเป็นที่จะต้องทยอยจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างดังกล่าวให้กับ กฟผ.
เพื่อรักษาฐานะทางการเงินของ กฟผ. ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไป
ในขณะที่สัดส่วนของค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ในอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติอยู่ที่ประมาณ
๑๐ สตางค์เท่านั้น ๒. ให้กระทรวงพลังงานนำแนวทางการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามนัยมาตรา
๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม
๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร) ตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | แนวทางการรณรงค์ เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 ภายใต้แนวคิด "สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล" | วธ. | 28/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการรณรงค์
เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด
"สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล"
ซึ่งประกอบด้วยแนวทางและมาตรการในการจัดกิจกรรมภาพรวมของประเทศรวม ๙ ข้อ
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน
และประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์
มุ่งเน้นสืบสานคุณค่าของประเพณีอันดีงาม
พร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สู่การรับรู้ของชาวต่างชาติ ๒. ส่งเสริมให้จังหวัดต่าง ๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมในประเพณีสงกรานต์ร่วมกับสืบสานประเพณีที่ดีงาม
เหมาะสม ๓. รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทำของประเพณีสงกรานต์
เช่น การทำความสะอาดบ้านเรือน วัด ศาสนสถานที่นับถือ สถานที่สาธารณะ ทำบุญตักบาตร
ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ำพระพุทธรูป ขอพรผู้สูงอายุ ๔. รณรงค์ให้แต่งกายที่สร้างภาพลักษณ์ความเป็นไทย
เช่น ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น ชุดไทยย้อนยุค หรือชุดสภาพ เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
เพื่อสร้างการรับรู้ถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยต่อชาวต่างชาติ ๕. ขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ
สนับสนุนศิลปินพื้นบ้านในการจัดกิจกรรม การละเล่น และการแสดงทางวัฒนธรรม
ประเพณีท้องถิ่น ตามแนวทางมาตรการประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ถูกต้องเหมาะสม
และร่วมกันเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ๖. หน่วยงานด้านความมั่นคง ความปลอดภัย
และด้านบริการประชาชน ให้รักษามาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้สงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่สร้างความสุข ประชาชน
และนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ๗.
ขอความร่วมมือประชาชนที่ใช้ยานพาหนะและใช้ถนนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมถึงช่วยสอดส่อง หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ในกรณีพบเห็นผู้ที่ปฏิบัติไม่เหมาะสม ๘. การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม ๖๐๘
(กลุ่มเสี่ยง) ให้รักษามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และโรคทางเดินหายใจ ควรมีอุปกรณ์ป้องกันเพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้เข้าร่วมงาน ๙. ส่งเสริมภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน
ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณีสงกรานต์ในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และนานาชาติ
ในโอกาสที่สงกรานต์ในประเทศไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
ที่เข้าสู่การพิจารณาของยูเนสโก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 และครั้งที่ 4/2566 | นร.11 สศช | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
เห็นชอบ และรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖
และครั้งที่ ๔/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๖
ที่ได้มีมติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ การรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๖ (๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕-๓๑ มกราคม ๒๕๖๖)
และแนวทางการปิดบัญชี “เงินกู้ตามพระราชกำหนด COVID-19 ๒๕๖๔” ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
และกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
การปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์ อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|