คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานงบการเงินประจำปี พ.ศ. 2546 ของการ
ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและลงนามรับรองแล้ว
โดยงบการเงินประจำปี พ.ศ. 2546  ของ  กฟผ.  ณ  วันที่  30  กันยายน  2546  ประกอบด้วย สินทรัพย์รวม
ทั้งสิ้น 424,649,550,321 บาท หนี้สินรวมทั้งสิ้น  246,254,167,605 บาท รายได้จากการดำเนินงานรวม
ทั้งสิ้น 234,979,999,463 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 191,264,430,656 บาท

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการ
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่  30  กันยายน  2545  และ  2544  ที่สำนักงานการ
ตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองถูกต้องแล้ว โดยในส่วนของงบดุล ปี พ.ศ. 2545 ประกอบด้วย  สินทรัพย์รวม
99,901,786,643.75 บาท หนี้สินรวม 93,896,012,494.34 บาท ส่วนของทุนรวม 6,005,774,149.41 บาท
ปี  พ.ศ. 2544  ประกอบด้วย   สินทรัพย์รวม  90,085,775,815.85  บาท   หนี้สินรวม  86,424,720,217.29
บาท  ส่วนของทุนรวม  3,661,055,598.56  บาท   งบกำไรขาดทุน  ปี พ.ศ. 2545   ประกอบด้วย   รายได้รวม
2,558,413,654.53 บาท  ค่าใช้จ่ายรวม  210,837,157.39  บาท  กำไร สุทธิ  2,347,576,497.14  บาท  ปี
พ.ศ. 2544  ประกอบด้วย  รายได้รวม 2,632,303,886.59 บาท  ค่าใช้จ่ายรวม 152,307,015.87 บาท  กำไร
สุทธิ  2,479,996,870.72  บาท   งบกำไรสะสม  ปี พ.ศ. 2545  ขาดทุนสะสมปลายงวด  3,073,702,347.12 
บาท ปี พ.ศ. 2544 ขาดทุนสะสมปลายงวด 5,421,278,844.26 บาท งบกระแสเงินสด ปี พ.ศ. 2545  ประกอบ
ด้วย เงินสดสุทธิและรายการเทียบเท่าเงินสดสุทธิ เพิ่มขึ้น (ลดลง) 364,846,371.55  บาท  เงินสดและรายการ
เทียบเท่าเงินสด ณ วันต้นปียกมา 443,491,314.11 บาท  เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นปียกไป
808,337,685.66 ปี พ.ศ. 2544  ประกอบด้วย  เงินสดสุทธิและรายการเทียบเท่าเงินสดสุทธิ  เพิ่มขึ้น  (ลดลง)
1,068,508,433.79 บาท เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันต้นปียกมา 1,511,999,747.90 บาท  เงิน
สดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นปียกไป 443,491,314.11 บาท

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเอกสารเผยแพร่สารสนเทศน่ารู้ทาง
การเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ประจำปี 2546  โดยเอกสารดังกล่าวมีเนื้อหาที่สะท้อนการดำเนินงานและ
ความเคลื่อนไหวของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการ
บริหารงาน สร้างความเข้มแข็งในเชิงธุรกิจ และเป็นเครื่องมือตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงานของสหกรณ์
และกลุ่มเกษตรกร  เพื่อวางแผนงานในอนาคตต่อหน่วยงานภาครัฐและเอกชน   ซึ่งข้อมูลทางการเงินของสหกรณ์
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ  สหกรณ์ภาคการเกษตร  (เกษตร  ประมง  นิคม)  และสหกรณ์นอกภาคการเกษตร
(ร้านค้า บริการ ออมทรัพย์)  โดยรวบรวมข้อมูลทางการเงินของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศที่ผ่านการ
ตรวจสอบบัญชี  และแสดงความเห็นต่องบการเงินโดยผู้สอบบัญชีแล้ว  ในปี  พ.ศ. 2546  มีจำนวนทั้งสิ้น  5,549
สหกรณ์ 4,528 กลุ่ม แยกเป็นสหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 3,566 สหกรณ์  และสหกรณ์นอกภาคการเกษตร
จำนวน 2,083 สหกรณ์ โดยมีทุนดำเนินงานทั้งสิ้น 551,088.67 ล้านบาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี
งบประมาณ  พ.ศ. 2545  ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน   จากผลการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่ในส่วน
ของการตรวจสอบการเงินทั่วไป การตรวจสอบงบการเงิน การตรวจสอบการจัดเก็บรายได้  การตรวจสอบการ
จัดซื้อจัดจ้าง การตรวจสอบสืบสวน และการตรวจสอบการดำเนินงาน ในภาพรวมพบความเสียหายซึ่งสามารถ
คำนวณเป็นตัวเงิน รวมทั้งสิ้น 6,597.60 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินงบประมาณที่เรียกคืนหรือรายได้ที่จัดเก็บ
เพิ่ม จำนวน 449.17 ล้านบาท และมูลค่าความเสียหายที่รัฐสูญเสียเงินงบประมาณโดยไม่ประหยัดหรือสูญเสีย
รายได้ จำนวน  6,148.43  ล้านบาท รวมทั้งเกิดจากการที่หน่วยรับตรวจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย  ระเบียบ  ข้อ
บังคับ  หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง  และการทุจริต  นอกจากนี้  ยังมีผลการตรวจสอบที่เป็นการยับยั้งหรือ
ป้องปรามความเสียหายที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นแก่ทางราชการ  ซึ่งไม่สามารถคำนวณมูลค่าความเสียหายเป็น
ตัวเงินได้  แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะจากผลการตรวจสอบทำให้หน่วยรับตรวจมีการปรับปรุงงานให้ดีขึ้น มี
ความระมัดระวังการปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน  การดูแลป้องกันเงินและทรัพย์สินของแผ่นดินมากขึ้น   ส่งผล
ให้สามารถประหยัดเงินงบประมาณแผ่นดินได้โดยรวม

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้องค์การสวนยาง (อสย.) ขยายระยะ
เวลาการใช้วงเงินกู้ของโครงการแทรกแซงตลาดยางพารา ระยะที่ 4, 5 และ 6  รวม  5  วงเงิน  เป็นเงิน 12,500
ล้านบาท ออกไปอีก 1 ปี เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2547  โดยกระทรวงการคลังค้ำประกัน และให้ อสย. นำ
วงเงินกู้ส่วนที่เหลือของวงเงิน  4,000  ล้านบาท (ระยะที่ 6) ใช้ชำระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นทุกวงเงินหลังจากวันที่ 31
ธันวาคม  2546  และให้ดำเนินการต่อไปได้  โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรให้  อสย.  เร่ง
จัดทำรายงานทางการเงินของโครงการแทรกแซง ฯ  เพื่อให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบบัญชีต่อไป
และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้เร่งรัดตรวจสอบ และรับรองงบการเงินโครงการแทรกแซง ฯ โดยเร็วเพื่อ
สำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณชดใช้ผลขาดทุนและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริงให้  อสย.   นำไปชำระคืนหนี้
เงินกู้ธนาคารกรุงไทย  จำกัด  (มหาชน)  และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กำหนดมาตรการเร่งรัดและกำกับดูแล เพื่อให้  อสย.  รับผิดชอบในการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและเร่ง
รัดการปิดบัญชีให้ได้จริงทันตามระยะเวลาที่กำหนด ไปดำเนินการด้วย

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนองบการเงินและรายงานประจำปี 2544
ขององค์การสะพานปลา ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว โดยงบดุล ณ วันที่ 30 กันยายน
2544 องค์การสะพานปลา มีสินทรัพย์รวม 945,202,022.49 บาท  หนี้สินรวม  250,550,328.37  บาท  ในส่วน
ของรายได้ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544 องค์การสะพานปลา มีรายได้รวม  1,354,432,955.69  บาท
และค่าใช้จ่ายรวม 1,333,073,573.74 บาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการ
ดำรงตำแหน่งและการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ  การบริหารกองทุนและการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัย
ในการใช้รถใช้ถนน พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นและ
ข้อสังเกตเพิ่มเติมตามประเด็นอภิปรายของ คกก.7 ไปพิจารณา  แล้วดำเนินการต่อไปได้  ดังนี้  การนำเงินกอง
ทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนไปใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอันเกิดจากการใช้รถใช้
ถนน  ควรกำหนดขอบเขตการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถนำเงินตามพระราชบัญญัติรถยนต์  พ.ศ. 2522
มาใช้ได้เฉพาะกรณีที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ให้ความคุ้มครองไปไม่ถึง  ส่วนค่า
เบี้ยประชุมคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ เห็นควรกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมโดยถือปฏิบัติตามพระราช
กฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. 2523  รวมถึงการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย
จากการใช้รถใช้ถนนที่กำหนดไว้ในร่าง 2(3) และ 19(2)  เห็นควรให้ปรับถ้อยคำในร่างข้อ 19(2)  กับร่างข้อ
2(3) ที่จะปรับปรุงใหม่ให้สอดคล้องไม่ให้เกิดการซ้ำซ้อนกัน  สำหรับงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่น
ดินตรวจสอบรับรองแล้ว  ส่งให้กรมบัญชีกลาง   นอกจากนี้   เห็นควรปรับปรุงจัดเรียงลำดับอำนาจหน้าที่ของ
คณะกรรมการ  ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวง
ดังกล่าวเป็นเรื่องด่วน

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการหารือระหว่างกระทรวงการคลัง
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการแก้ไขกิจกรรมทางธุรกิจที่อาจเกิดปัญหา โดยผลการหารือจาก
การตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไม่พบข้อมูลว่ามีสถาบันการเงินผลักดันให้บริษัทลูกหนี้ที่มีผล
การดำเนินการไม่ดีออกหุ้นกู้เพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงิน   และทำให้ประชาชนผู้ลงทุนในหุ้นกู้ดัง
กล่าวได้รับความเสียหาย   สำหรับการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของภาคเอกชน ซึ่งประกอบ ด้วยตั๋วเงิน
และหุ้นกู้  จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนด   โดย
หลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลนี้มีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อสร้างดุลยภาพระหว่างการคุ้มครองผู้ลงทุน  ในขณะ
เดียวกันก็เอื้อให้ภาคธุรกิจเอกชนสามารถระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และเท่าที่ผ่านมายังไม่ปรากฏว่า
มีการร้องเรียนในเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี  เนื่องจากปัจจุบัน  หลักเกณฑ์การ
กำกับดูแลตั๋วเงินและหุ้นกู้ยังมีความแตกต่างกัน  จึงทำให้มีผู้ที่ต้องการระดมทุนส่วนหนึ่ง  เลี่ยงมาออกตั๋วเงิน
แทนการออกหุ้นกู้เพราะทำได้ง่าย สะดวก และมีต้นทุนที่ต่ำกว่า แม้ว่าตั๋วเงินเหล่านั้นจะมีมูลค่าสูง  (10 ล้าน
บาทขึ้นไป)  แต่หากปล่อยให้มีการใช้ตั๋วเงินเป็นเครื่องมือในการระดมทุนอย่างแพร่หลายต่อไปเรื่อย  ๆ  ใน
อนาคต  หากมีผู้ออกตั๋วเงินจำนวนมากผิดนัดชำระหนี้ และมีการฟ้องร้องไล่เบี้ยกันอย่างกว้างขวางแล้ว อาจ
จะกระทบความเชื่อมั่นในการระดมทุน และการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ทั้งระบบได้   สำหรับเรื่องของการ
จัดทำงบการเงิน และการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน   ตลาดหลักทรัพย์  ฯ  ได้กำหนดมาตรการใน
การกำกับดูแลไว้เป็นลำดับ ซึ่งมีทั้งการดำเนินการกับบริษัทจดทะเบียนที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบ
การเงินหรือเห็นว่างบการเงินไม่ถูกต้อง  และการดำเนินการกับบริษัทจดทะเบียนที่ส่งงบการเงินล่าช้า  รวม
ทั้งยังมีการตรวจสอบงบการเงินของบริษัทที่ส่งมายังตลาดหลักทรัพย์ ฯ ด้วย  ทั้งนี้  ในการจัดทำงบการเงิน
ของบริษัท  ในทางปฏิบัติแล้ว   บริษัทจะแยกรายการหนี้สินจากการออกหุ้นกู้ออกจากรายการเงินกู้ยืมจาก
สถาบันการเงิน และหากบริษัทมีการออกตั๋วเงิน การลงบัญชี  รายการดังกล่าวจะรวมอยู่ในรายการเงินกู้ยืม
ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน  แต่จะมีรายละเอียดในหมายเหตุประกอบงบการเงินว่าเงินกู้ยืมดังกล่าวมาจาก
การออกตั๋วเงิน  และจากผลการหารือในเรื่องดังกล่าว   กระทรวงการคลังเห็นว่า   ในปัจจุบันมีเกณฑ์ในการ
กำกับดูแลที่ชัดเจนและเพียงพอที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลงทุนได้   ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้เกิดภาระแก่
ภาคเอกชนที่ต้องการระดมทุนผ่านตลาดทุนมากจนเกินไป ทำให้ภาคเอกชนยังคงสามารถระดมทุนได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ    อย่างไรก็ดี   จะได้ติดตามดูแลและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการตรวจสอบ
เรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานกิจการ  งบดุล  และบัญชีกำไรขาดทุน
ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ประจำปี พ.ศ. 2545  และปัญหา
อุปสรรคการดำเนินงานของ ธพว. และให้นำรายงานกิจการ งบดุล และบัญชีกำไรขาดทุนของ ธพว. เสนอรัฐสภา
ทราบต่อไป โดยผลการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2545 ด้านสินเชื่อ ณ สิ้นปี พ.ศ. 2545 ธพว. อนุมัติสินเชื่อ 15,410
ล้านบาท มียอดสินเชื่อคงค้างเท่ากับ 11,313 ล้านบาท  จำนวนลูกหนี้ทั้งสิ้น  1,916  ราย  ด้านการบริหารหนี้
NPL  ธพว. มีหนี้ NPL  2,188 ล้านบาท  โดย ธพว. มิได้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพไปยังบรรษัทบริหารสินทรัพย์
ไทย (บสท.) ด้านการเงิน งบการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 ธพว. มีสินทรัพย์รวม 2,336 ล้านบาท หนี้สิน
รวม 9,369 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 2,967 ล้านบาท มีรายได้รวม 657 ล้านบาท  ค่าใช้จ่ายรวม  486  ล้าน
บาท สำรองหนี้สงสัยจะสูญ 78 ล้านบาท  และกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท  ด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ ธพว. ได้
ร่วมเป็นหน่วยงานร่วมในโครงการชุบชีวิตธุรกิจไทย  (ITB)  เพื่อช่วยปรับปรุงกิจการ  SMEs  ที่มีปัญหาและโครง
การ  New  Entrepreneur  Creation  (NEC)  รวมทั้งจัดอบรมหลักสูตร  "ทายาทธุรกิจ"  และด้านการร่วมลงทุน 
มีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับอนุมัติในหลักการร่วมลงทุน  15  กิจการ   ทุนจดทะเบียน1,026.02  
ล้านบาท   และได้จัดตั้งกองทุนร่วมลงทุนระหว่าง ธพว.  กับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) 
สัดส่วนลงทุนฝ่ายละ 500 ล้านบาท   สำหรับปัญหาอุปสรรคการดำเนินงานที่ ธพว. ควรเร่งแก้ไข ได้แก่ ปัญหา
ความสามารถในการทำกำไรลดลง    เนื่องจากสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมเพิ่มสูงขึ้น  ธพว.  
ควรแยกค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับต้นทุนการบริหารการเงินออกจากต้นทุนการบริหารการเงิน เพื่อสามารถเปรียบ
เทียบประสิทธิภาพการดำเนินงานของ  ธพว.  กับสถาบันการเงินอื่นในระบบได้  ปัญหาการระดมเงิน เนื่องจาก 
ธพว. พึ่งพาการกู้เงินระยะสั้นเป็นหลักทำให้มีความเสี่ยง เพราะการปล่อยกู้ของ ธพว.  เป็นการให้กู้ระยะยาว จึง
ควรแก้ไขวิธีการระดมทุน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาส่วนต่างของดอกเบี้ย และปัญหาลูกหนี้ NPL ค่อนข้างสูง

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอสำเนางบการเงิน ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544 ของสำนักงาน ป.ป.ช. โดย
สำเนาฉบับนี้ เป็นการรายงานข้อมูลในส่วนของงบดุล  (สินทรัพย์และทุนดำเนินงาน)  งบรายรับ-รายจ่ายจาก
การดำเนินงาน เงินรายได้แผ่นดินและเงินรายได้แผ่นดินนำส่งคลัง รายจ่ายตามแผนงาน งานและโครงการ (งบ
ประมาณปี  พ.ศ. 2544  และงบประมาณปี  พ.ศ. 2543) รายจ่ายงบกลาง  (งบประมาณปี พ.ศ. 2544  และงบ
ประมาณปี พ.ศ. 2543)  รวมทั้งรายจ่ายตามมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชี ซึ่ง
เห็นว่า งบการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงิน  ณ วันที่  30  กันยายน  2544  และผลการดำเนินงานสำหรับปี
สิ้นสุดวันเดียวกันของสำนักงาน ป.ป.ช.  ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์ในการจัดทำงบการเงิน 
ทั้งนี้  คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า  งบการเงินประจำปี  พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชี  หากสามารถดำเนินการ
ได้รวดเร็วขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีให้กับองค์กรนั้น ๆ  ได้เหมาะสมยิ่ง
ขึ้น

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอรายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์
กรร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Authority,  MTJA) ประจำปี พ.ศ. 2545  โดยสาระสำคัญของราย
งานประจำปีองค์กรร่วม ฯ  เป็นการรายงานให้ทราบถึงกิจกรรมที่สำคัญในพื้นที่พัฒนาร่วม ฯ  โดยแบ่งออกเป็นกิจ
กรรมด้านการสำรวจและการพัฒนา  สถานะของผู้ได้รับสัญญาตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต   ผลของการดำเนินงาน
ของบริษัทผู้ได้รับสัญญา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในแปลง A-18 และแปลง B-17  &  C-19 การพิจารณา
ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการผลิตปิโตรเลียมและขั้นตอนในการปฏิบัติงานสำหรับการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนา
ร่วม ฯ การกำหนดเขตปลอดภัยในทะเลบริเวณแท่นผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม ฯ  การกำกับดูแลการจัดซื้อ
จัดจ้าง และการดำเนินงานของบริษัทผู้ดำเนินงาน และเรื่องอื่น ๆ รวมถึงรายงานงบการเงินปี พ.ศ. 2545 ที่บริษัท
M/S  Ernst  &  Youg  ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลทั้งสองให้เป็นผู้สอบบัญชีขององค์กรร่วม ฯ มีความเห็นว่า
 รายงานงบการเงินประจำปี พ.ศ. 2545 ขององค์กรร่วม ฯ  จัดทำขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม  และได้แสดงถึงข้อเท็จ
จริงและเจตนาที่โปร่งใสเกี่ยวกับกิจการการดำเนินงาน รายรับและรายจ่าย และงบกระแสเงินสดขององค์กรร่วม ฯ

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
สำหรับไตรมาสที่หนึ่งของปี พ.ศ. 2546 (2003) และขอความเห็นชอบในหลักการว่า ในคราวต่อ ๆ ไป  เมื่อองค์
กรร่วม ฯ  นำเสนอรายงานงบการเงินประจำไตรมาสให้รัฐบาลไทยเพื่อทราบ  และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลัง
งานทราบแล้ว  ให้ถือเสมือนว่าคณะรัฐมนตรีได้รับทราบในเรื่องดังกล่าวแล้ว  สำหรับสาระสำคัญของรายงานงบ
การเงินขององค์กรร่วม ฯ  ในช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปี พ.ศ. 2546 (2003)  องค์กรร่วม  ฯ  ได้ใช้จ่ายเงินเพื่อการ
ดำเนินงานเป็นจำนวน 385,303 เหรียญสหรัฐ  จากยอดงบประมาณปี พ.ศ. 2546  ที่ได้รับอนุมัติ 1,672,400 
เหรียญสหรัฐ  ซึ่งค่าใช้จ่ายประกอบด้วยหมวดเงินเดือนและสวัสดิการ  ค่าเช่าสำนักงาน  ค่าเดินทาง  เป็นหมวด
รายจ่ายหลัก ส่วนสถานะกองทุนองค์กรร่วม ฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2546 มียอดรวม 3,592,508 เหรียญสหรัฐ
โดยแบ่งออกเป็น สินทรัพย์และเงินสดเพื่อการดำเนินงานคงเหลือ 471,099 เหรียญสหรัฐ ทุนฝึกอบรมคงเหลือ 
367,230 เหรียญสหรัฐ และทุนสำรองคงเหลือ 2,754,179 เหรียญสหรัฐ

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนองบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินของกองทุน
ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2545 และ 2544 ที่สำนักงานการตรวจเงิน
แผ่นดินรับรองแล้ว โดยผลการดำเนินงานในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ในส่วนของรายได้ในปี พ.ศ. 2545 กองทุน ฯ
มีรายได้ 2.62 ล้านบาท ปี พ.ศ. 2544 มีรายได้ 2.77 ล้านบาท  สำหรับค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. 2545  กองทุน ฯ มี
ค่าใช้จ่าย 16.00 ล้านบาท และในปี พ.ศ. 2544 มีค่าใช้จ่าย 7.77 ล้านบาท และจากผลการดำเนินงาน กองทุน ฯ  
มีรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่าย ในปี พ.ศ. 2545 จำนวน 13.38 ล้านบาท  ส่วนปี พ.ศ. 2544 มีจำนวน 5.00 ล้าน
บาท   โดยในปี  พ.ศ. 2545  กองทุน ฯ  มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายสูงกว่าปี พ.ศ. 2544  จำนวน  8.38  ล้านบาท 
เนื่องจากส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด  ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ/ยึด
/อายัดทรัพย์สิน และค่าใช้จ่ายเงินรางวัลเพิ่มขึ้น  ซึ่งมีสาเหตุจากปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดที่เพิ่มขึ้น  ทำให้มีการ
ขยายผลการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเพิ่มขึ้นด้วย  ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า งบดุลใน
ส่วนของเงินกองทุนมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไม่มาก  อาจจะมีสาเหตุหนึ่งจากการที่คดียังค้างดำเนินการอยู่
ในกระบวนการของศาลยุติธรรม   ดังนั้น   เพื่อให้การบริหารกองทุนเกิดประโยชน์สูงสุด  จึงมอบให้รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงยุติธรรมไปประสานงานกับสำนักงานศาลยุติธรรมต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบัน
การบินพลเรือน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544 และ 2543  ของกระทรวงคมนาคม  ซึ่งสำนักงานการ
ตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและให้การรับรองแล้ว โดยในส่วนของสินทรัพย์ สถาบันการบินพลเรือนมีสินทรัพย์
ดังนี้ ปี พ.ศ. 2544 จำนวน 546,820,587.45 บาท  ปี พ.ศ. 2543 จำนวน 535,877,210.48 บาท  หนี้สินและ
ส่วนของทุน ในปี พ.ศ. 2544 สถาบันการบินพลเรือน  มีหนี้สินและส่วนของทุนรวม 546,820,587.45 บาท  ปี
พ.ศ. 2543 มีหนี้สินและส่วนของทุนรวม  535,877,210.48  บาท  สำหรับรายได้ค่าใช้จ่าย ในปี พ.ศ. 2544  มี
รายได้รวม 210,966,205.33 บาท ค่าใช้จ่ายรวม 279,552,640.52 บาท  ส่วนในปี  พ.ศ. 2543  มีรายได้รวม
93,051,110.37 บาท และค่าใช้จ่ายรวม 181,697,854.07 บาท  ทั้งนี้  ในปี พ.ศ. 2544  และปี พ.ศ. 2543 มี
รายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่าย 68,586,435.19 บาท และ 88,646,743.70 บาท ตามลำดับ

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการ
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่  30  กันยายน  2544  และ  2543  ซึ่งสำนัก
งานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองถูกต้องแล้ว โดยงบดุล (ณ วันที่  30  กันยายน  2544  และ  2543)
 ประกอบด้วย งบกำไรขาดทุน งบกำไรสะสม และงบกระแสเงินสด  ทั้งนี้  ผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของ 
รฟม.  เนื่องจาก  รฟม.  ยังไม่ได้เปิดให้บริการเดินรถ  และปัจจุบัน  รฟม.  มีแต่ธุรกรรมด้านการลงทุน  จึงทำให้มี
สภาพคล่องทางการเงินและความสามารถในการทำงานค่อนข้างต่ำ สำหรับสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของ รฟม. มียอด
รวมหนี้สินมากกว่าทุนสูงถึง  23  เท่า  ประกอบกับในอนาคตการได้มาซึ่งรายได้หลัก  รฟม.  จะมีรายได้จากส่วน
แบ่งรายได้ที่ได้รับจากเอกชนผู้รับสัมปทานโครงการ ฯ  ตลอดอายุ 25 ปี  ซึ่งส่วนแบ่งรายได้  ประกอบด้วย  ส่วน
แบ่งรายได้ค่าโดยสาร 1% (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) และส่วนแบ่งจากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ 7%  (รวมภาษี
มูลค่าเพิ่มแล้ว)  โดยส่วนแบ่งรายได้จะได้ตั้งแต่ปีที่เริ่มเปิดให้บริการ  และ รฟม. จะได้เงินค่าสัมปทาน (Lumpsum
Amount) จำนวน 43,567 ล้านบาท โดยทยอยรับตั้งแต่ปีที่ 11 ถึงปีที่ 25 ตามงวดที่กำหนดนับแต่เปิดให้บริการ
เดินรถ  อย่างไรก็ดี  ในอนาคต รฟม. น่าจะมีแนวโน้มการเงินที่ดีถ้ามีการชำระหนี้และดอกเบี้ยหมด และได้เปิดให้
บริการแล้ว (ประมาณเดือนเมษายน 2547) ซึ่งจะทำให้ รฟม. มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้บริการ

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานงบการเงินสำหรับไตรมาสที่สี่ของปี 2545
(2002) ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย โดยองค์กรร่วม ฯ ได้ใช้จ่ายเงินเพื่อการดำเนินงานเป็นจำนวน 417,382 
เหรียญสหรัฐ  จากยอดงบประมาณปี พ.ศ. 2545 ที่ได้รับอนุมัติจำนวน 1,685,000 เหรียญสหรัฐ  ซึ่งค่าใช้จ่าย
ประกอบด้วยหมวดเงินเดือนและสวัสดิการ ค่าเช่าสำนักงาน  ค่าเดินทางเป็นหมวดรายจ่ายหลัก  สถานะกองทุน
องค์กรร่วม ฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 มียอดรวม 3,488,206 เหรียญสหรัฐ  โดยแบ่งออกเป็นสินทรัพย์และ
เงินสดเพื่อการดำเนินงานคงเหลือ 302,139 เหรียญสหรัฐ  ทุนฝึกอบรมคงเหลือ 436,730 เหรียญสหรัฐ  และ
ทุนสำรองคงเหลือ 2,749,337 เหรียญสหรัฐ

                              อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 4  ที่มีมติอนุมัติ
หลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอร่างพระราชบัญญัติสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา     โดยสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นการกำหนดให้สถาบัน
พระบรมราชชนก  กระทรวงสาธารณสุข  เป็นสถาบันอุดมศึกษา และอยู่ในกำกับของกระทรวงสาธารณสุข  โดยให้
แก้ไขในประเด็นต่าง  ๆ  ดังนี้  (1)  การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่สถาบัน ควรบัญญัติให้รัฐจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่
สถาบันตามความจำเป็น   เหมาะสม   และสอดคล้องกับสถานะทางการเงินการคลังของประเทศในขณะนั้น ๆ  (2)
การพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุน ซึ่งต้องมีข้อมูลทางการเงินเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา บัญญัติเพิ่มเติมให้สถาบัน
ส่งงบการเงินที่รับรองแล้วให้แก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางทราบภายในสาม
สิบวันนับแต่วันที่สภาสถาบันได้รับรายงานการเงิน  (3)  บัญญัติเพิ่มเติมให้สถาบันวางระบบบัญชีให้สอดคล้องกับ
มาตรฐานและนโยบายบัญชีภาครัฐที่กรมบัญชีกลางกำหนด  (4)  บัญญัติให้มีการกำหนดอัตราเงินเดือนของพนัก
งานของสถาบันให้อยู่ในบัญชีที่มีฐานเดียวกับอัตราเงินเดือนข้าราชการทั่วไป      โดยให้มีบัญชีเงินเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง
แยกต่างหากจากเงินเดือน  (5) กำหนดวัตถุประสงค์ของสถาบันในร่างมาตรา 7(4) ให้ชัดแจ้ง  (6) อำนาจในการ
ให้ความเห็นชอบในการกู้ยืมเงิน การให้กู้ยืมเงิน  การร่วมลงทุนหรือการลงทุนตามมาตรา 10(4) วรรค 2 ให้ใช้คำ
ว่า "จำนวนเงินทุน" แทนคำว่า "จำนวนทรัพย์สิน" (7) ร่างมาตรา  13  และ  14  ที่กำหนดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของ
เงินที่ใช้ในการดำเนินกิจการ ให้เพิ่มข้อความให้ครอบคลุมถึงการนำเงินที่ได้จากการกู้ยืมไปใช้ในการดำเนินกิจการ
ของสถาบันได้ด้วย  (8)  ในร่างมาตรา 13  ให้ตัด  (2)  เงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิมออก    รวมทั้งแก้ไขข้อ
ความ (3) จากเดิม  เป็น "(3) เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้" และแก้ไขข้อความวรรคท้ายเงินทุนประเดิมตาม (2)
และเงินอุดหนุนตาม (3) จากเดิม เป็น  "รัฐบาลพึงจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดินให้แก่สถาบันตามความจำเป็นใน
การดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน  และเพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพการศึกษาโดยเหมาะสมกับกำลังเงิน
ของแผ่นดิน"  (9)  ปรับปรุงร่างมาตรา  35  ให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันทุกปี เพื่อประโยชน์ใน
การพิจารณาจัดสรรงบประมาณและด้านอื่น ๆ  (10)  แก้ไขร่างมาตรา  51  ในส่วนของหมวดเงินเดือนและค่าจ้าง
ประจำ   และตัดวรรคท้ายออก  เนื่องจากตัดร่างมาตรา  13(2)  ออกแล้ว  (11) แก้ไขร่างมาตรา  56  วรรคท้าย 
จาก"หมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจำ" เป็น "งบบุคลากร" และ  (12)  ตัดข้อความในร่างมาตรา 57 วรรคหกออก 
ทั้งนี้ ส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานงบการเงินประจำปี พ.ศ. 2545 ของการไฟฟ้า
ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 ประกอบด้วย  งบดุล  งบกำไรขาดทุน  กำไร
สะสมยังไม่ได้จัดสรรยกไป และงบกระแสเงินสด  ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว  โดย
มีข้อสังเกต ดังนี้ (1) ในงวดบัญชีปี พ.ศ. 2545  กฟผ.  ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี  จากการแสดงรายการใน
งบดุล  จากเดิมที่แสดงเป็นกองทุนหนึ่งในรายการกองทุนเฉพาะกิจในส่วนของทุน เป็นประมาณการหนี้สินเพื่อการ
ฟื้นฟูสภาพบริเวณเหมืองในส่วนของหนี้สินอื่น เนื่องจากเป็นหนี้สินที่มีความแน่นอนว่าจะเกิดขึ้น และได้ปรับปรุงงบ
การเงินงวดบัญชีปี พ.ศ. 2544  ที่นำมาแสดงเปรียบเทียบเสมือนว่า  กฟผ.  ได้ถือปฏิบัติตามนโยบายการบัญชีใหม่
มาโดยตลอด  มีผลทำให้กำไรสุทธิสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544    เพิ่มขึ้นจากการรับรู้ดอกเบี้ยเงินฝาก
ธนาคารของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสภาพบริเวณเหมือง  เป็นรายได้ในงบกำไรขาดทุนของ  กฟผ.  กำไรสะสมต้นงวด
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่  30  กันยายน  2545  เพิ่มขึ้นด้วยจำนวนเดียวกัน  นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงประมาณ
การทางบัญชี ในงวดบัญชีปี พ.ศ. 2545 โดยเปลี่ยนแปลงในส่วนของค่าใช้จ่ายในการสำรวจแหล่งแร่  และค่าใช้จ่าย
ในการสำรวจเพื่อการพัฒนาขั้นต้น   (2)   การปรับประมาณการค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสภาพบริเวณเหมืองทั้งโครง
การ และ (3) การแก้ไขข้อผิดพลาด เนื่องจากในงวดบัญชีปีก่อน  กฟผ.  มิได้นำรายการระหว่างกันซึ่งเกิดจากกำไร
จากการขายโรงไฟฟ้า ฯ ให้บริษัทย่อยและบริษัทร่วมของ  กฟผ.  มาหักออกจากส่วนแบ่งผลกำไรในบริษัทย่อยและ
บริษัทร่วมในการรับรู้ส่วนแบ่งผลกำไร ฯ ตามวิธีส่วนได้เสีย  มีผลทำให้บัญชีเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม
กำไรสุทธิและกำไรสะสมยกมาในงวดบัญชีปี พ.ศ. 2545 มียอดลดลงจำนวน  4,839.55  ล้านบาท  410.63  ล้าน
บาท   และ 4,428.92  ล้านบาท  ตามลำดับ  และในงวดบัญชีปี  พ.ศ. 2544   มียอดลดลง  4,428.92  ล้านบาท  
1,992.68 ล้านบาท และ 2,436.24 ล้านบาท ตามลำดับ

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. 2544-2545
พร้อมทั้งรายงานของผู้สอบบัญชีอิสระและงบการเงิน ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ประจำปี พ.ศ. 2543 และปี
พ.ศ. 2544   ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว   โดยงบแสดงฐานะการเงิน  ณ  วันที่  30 
กันยายน  2544  และ  2543  ในส่วนของสินทรัพย์  ปี พ.ศ. 2544  มีจำนวนทั้งสิ้น  37,654,725.43  บาท  ปี 
พ.ศ. 2543 มีจำนวนทั้งสิ้น 46,412,384.87 บาท หนี้สินและส่วนของรายได้ ปี พ.ศ. 2544  รวมหนี้สินและส่วน
รายได้ทั้งสิ้น 37,654,725.43 บาท และปี พ.ศ. 2543  รวมหนี้สินและส่วนรายได้ทั้งสิ้น 46,412,384.87 บาท
สำหรับงบรายได้-ค่าใช้จ่าย สำหรับปีสิ้นสุด  ณ  วันที่ 30 กันยายน 2544  และ 2543  โดยในปี พ.ศ. 2544 มี
รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 8,670,488.98 บาท และปี พ.ศ. 2543 มีรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย 11,095,896.25 บาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี  คณะที่ 2  ที่มีมติเห็น
ชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอขยายระยะเวลาการใช้วงเงินกู้โครงการแทรกแซงตลาด
ยางพารา ระยะที่ 3, 4, 5  และ 6  จำนวน 6 วงเงิน  เป็นเงิน 15,800 ล้านบาท  ออกไปจนถึงวันที่  30  ธันวาคม
2546 โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน  และให้ปรับลดวงเงินกู้ระยะที่ 3  เป็นจำนวนเท่ากับยอดหนี้ค้างชำระคือ
จำนวน 1,056.69 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินกู้ที่ขยายระยะเวลาทั้งสิ้น  15,056.69  ล้านบาท  กับเห็นชอบให้องค์
การสวนยางนำเงินส่วนที่เหลือของวงเงิน 4,000 ล้านบาท (ระยะที่ 5)  และวงเงิน 4,000 ล้านบาท  (ระยะที่ 6) 
ไปใช้ชำระเฉพาะค่าดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นหลังจากวันที่  30  ธันวาคม  2545  ได้โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่มเติม  ทั้งนี้  ให้
กระทรวงเกษตร  ฯ  รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการต่อไป    สำหรับการขอให้ธนาคาร
กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  งดเบี้ยปรับเนื่องจากผิดนัดชำระหนี้นั้น  โดยที่เรื่องนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะ
กรรมการธนาคารกรุงไทย  ฯ  ก่อน  จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประสานกับธนาคารกรุงไทย  ฯ 
เพื่อดำเนินการต่อไป  ส่วนความเห็นของกระทรวงการคลัง สรุปได้ดังนี้ (1) เห็นควรปรับลดวงเงินกู้ของระยะที่ 3 
เป็นจำนวนเท่ากับยอดหนี้ค้างชำระคือ จำนวน 1,056.69 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินกู้ที่เห็นควรให้ขยายระยะเวลา
ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2546 จำนวน 15,056.69 ล้านบาท และให้องค์การ ฯ นำเงินส่วนที่เหลือใน ระยะที่ 5 และ
ระยะที่ 6 ดังกล่าว ซึ่งคงเหลือประมาณ 1,000 ล้านบาท และ 1,650 ล้านบาท  ตามลำดับ  ไปใช้ชำระเฉพาะค่า
ดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นหลังจากวันที่  30  ธันวาคม  2545  ได้โดยไม่ต้องกู้เงินเพิ่มเติม  (2)  ระหว่างการขยายระยะ
เวลาเงินกู้  ให้องค์การ ฯ  เร่งปิดบัญชีการขายยางในสต๊อกจำนวนประมาณ 60,000 ตัน  และนำรายได้จากการ
ขายยางชำระคืนหนี้เงินกู้ให้ธนาคารกรุงไทย ฯ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้  และเร่งจัดทำรายงานผลการเงินของ
โครงการแทรกแซง  ฯ  เพื่อให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบบัญชีต่อไป    และให้สำนักงานการตรวจ
เงินแผ่นดินเร่งรัดตรวจสอบและรับรองงบการเงินโครงการแทรกแซง ฯ ที่จัดทำแล้วโดยเร็วเพื่อสำนักงบประมาณ
จะได้จัดสรรงบประมาณชดใช้ผลขาดทุน และดอกเบี้ยที่จ่ายจริงให้หากมีผลขาดทุนเกิดขึ้น