1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่  
กระทรวงมหาดไทย เสนอ  โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขรูปแบบสภาเมืองพัทยา ที่มาของนายกเมือง 
พัทยา   การพ้นจากตำแหน่งรองนายกเมืองพัทยา    และสิทธิของราษฎรในการถอดถอนสมาชิกสภาเมือง 
พัทยา   และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา    และส่งให้คณะกรรมการประสานงาน
สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา  ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป         
           2. อนุมัตให้ถอนร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติบริหารราชการเมืองพัทยา  พ.ศ. 2529 
พ.ศ. .... ที่สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมแล้ว  และให้ถอนร่างพระราชกฤษฎีกาจัด
ตั้งเทศบาลนครพัทยา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ  

          รับทราบการปรับปรุงวงเงินกู้ระยะสั้นและการต่ออายุวงเงินกู้ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)  
เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนการดำเนินงาน  ตามที่กระทรวงการคลัง รายงาน    โดยวงเงินกู้ระยะสั้นกับธนาคาร  
พาณิชย์และสถาบันการเงิน จำนวน 9,110 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรี (25 กุมภาพันธ์ 2540)  ได้หมดอายุ  
แล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2540     แต่ ปตท. ยังคงมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินดังกล่าวต่อไป เพื่อเป็นเงินทุนหมุน    
เวียนสำหรับการดำเนินงานตามปกติของ ปตท.  ในปี  พ.ศ. 2541       โดยแบ่งเป็นวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี จำนวน  
2,030 ล้านบาท วงเงินกู้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่เป็นเงินบาท จำนวน 2,250 ล้านบาท   และวงเงินกู้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่   
ให้เลือกกู้เป็นสกุลเงินบาทหรือเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ  เทียบเท่าจำนวน 4,830 ล้านบาท  ระยะเวลา 1 ปี    ตั้งแต่ 
วันที่ 1 มกราคม 2541 ถึง 31 ธันวาคม 2541 โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน 

          อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญ 
เกี่ยวกับสิทธิของราษฎรในการลงคะแนนถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นให้พ้นจากตำแหน่งได้  หรือเข้าชื่อกัน 
เพื่อเสนอให้สภาท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ 
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา   ก่อน 
เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

          1. อนุมัติร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม 
ให้สามารถจัดตั้งท้องถิ่นเป็นเทศบาลนคร โดยไม่ต้องใช้ความหนาแน่นของราษฎร และลดระยะเวลการดำรง 
ตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาลจากห้าปีเป็นสี่ปี  ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ      และให้ส่งสำนักงานคณะ  
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา       และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน
เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
          2. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติเทศบาล  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....  ที่สภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุไว้ใน 
ระเบียบวาระการประชุมแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ

          อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....   
โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขโครงสร้างสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล  (อบต.)     ที่มาจาก  
การเลือกตั้ง   การเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้ อบต. และราษฎร   ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ     และให้ส่ง 
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา และส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร 
พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษำรพจิารณาต่อไป

          อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 พ.ศ. ....   โดยมี
สาระสำคัญเกี่ยวกับการยกฐานะสุขาภิบาลทั้งหมดเป็นเทศบาลตำบลภายใน 90 วัน  การกำหนดระยะ 
เวลาดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการสุขาภิบาลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน   และการแต่งตั้งคณะเทศ 
มนตรีชั่วคราว ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 
ร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นอันดับแรก และดำเนินการไปก่อนเป็นเรื่องเร่งด่วน

          รับทราบรายงานเกี่ยวกับเรื่อง การค้าต่างตอบแทนด้านปิโตรเลียมและการปรับปรุงคุณภาพ
น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดค่าใข้จ่ายในการเติมสารเติมแต่งที่ไม่จำเป็น     ตามที่สำนักงานคณะกรรมการ 
นโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รายงาน สรุปได้ดังนี้
          1. การดำเนินการในลักษณะของการค้าต่างตอบแทน   รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี   
(นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเสนอนโยบายการค้าต่างตอบแทนด้านปิโตร 
เลียม  เพื่อเสนอนโยบาย แนวทาง และมาตรการในการส่งเสริมการดำเนินการค้าต่างตอบแทนด้าน 
ปิโตรเลียม   เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ  โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการ
นโยบายพลังงานแห่งชาติ  เป็นประธาน   คณะกรรมการ  ฯ ได้มีการประชุมสรุปได้ว่ามีความเป็นไป
ได้ที่จะดำเนินการค้าต่างตอบแทน   โดยขณะนี้ สพช.  อยู่ระหว่างการศึกษาในรายละเอียดเกี่ยวกับ
ปริมาณน้ำมันดิบที่จะทำการค้าต่างตอบแทน  และการชดเชยต้นทุนส่วนเพิ่มจากการจ้างพ่อค้าคน
กลางหรือ  Trading  Firm ในการหาตลาดในการแลกเปลี่ยนสินค้า เพื่อจัดทำแนวทางที่ชัดเจนต่อไป
          2. การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง  สพช.  และกรมทะเบียนการค้า  ได้ร่วมกันหารือกับ   
โรงกลั่นน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมัน  และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  สาขายานยนต์แล้ว    เห็นควร   
ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซิน โดยยกเลิกเบนซินประเภท 95 ที่มีสารเคลือบบ่าวาล์ว  และเพิ่ม 
นำมันเบนซินประเภทออกเทน 91  ที่มีคุณภาพปานกลางแทน   โดยให้มีผลบังคับใช้เร็วที่สุดตาม
กฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2541 เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่าง
การพิจารณาลงนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
          3. การยกเลิกสารเติมแต่งที่ไม่จำเป็นจากต่างประเทศ  รวมทั้งการที่โรงกลั่นให้ความร่วมมือ
ในการลดค่าออกเทนจะทำให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันเบนซินในประเทศลดลงได้ปีละประมาณ 1,777 
ล้านบาท  นอกจากนี้จะทำให้ผู้ใช้น้ำมันสามารถลดค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำมันได้ในระดับ 20 - 40 
สตางค์/ลิตร     สำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ    และ 20 - 80 สตางค์/ลิตร สำหรับ
รถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ
          ทั้งนี้  ให้ สพช.  เร่งรัดการจัดทำแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับการค้าต่างตอบแทนด้าน
ปิโตรเลียมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

          1. รับทราบมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)  เมื่อวันที่   
16 มกราคม 2541 เรื่อง การปรับปรุงแนวทางการกำหนดอัตราเงินเดือน/ค่าจ้างประจำเพิ่มใหม่   ปี  
งบประมาณ พ.ศ. 2542 - 2544   และแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับอัตราข้าราชการ/ลูกจ้างประจำ ที่  
ต้องยุบเลิกจากผลการเกษียณอายุ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 - 2544    ตามมาตรการกำหนดขนาด 
กำลังคนภาครัฐ  และเรื่องอนุมัติให้ยกเว้นการยุบเลิกอัตราจากผลการเกษียณอายุปีงบประมาณ พ.ศ.  
2537 - 2540 สำหรับตำแหน่งลูกจ้างประจำในส่วนราชการต่าง ๆ   และการอนุมัติอัตราค่าจ้างประ  
จำเพิ่มใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2541  ในส่วนราชการต่าง ๆ     ตามที่รองนายกรัฐมนตรี  (นายพิชัย
รัตตกุล) ประธานคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เสนอ
          2. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า    แม้คณะรัฐมนตรีจะได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดเป้าหมาย   
และนโยบายกำลังคนภาครัฐหลายครั้งต่อเนื่องกันมา  โดยมีแนวความคิดว่าจะไม่มีการเพิ่มอัตรากำลัง   
คนในภาครัฐอีก     แต่ปรากฎว่ายังมีการเพิ่มกำลังคนในภาครัฐในช่วงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537  เป็นต้นมา
ประมาณ 53,000 กว่าตำแหน่ง โดยอาศัยข้อยกเว้นของมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว   นอก   
จากนี้มติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้มีการยุบเลิกอัตราจากผลการเกษียณอายุราชการก็มีส่วนราชการ   
ขอยกเว้นอยู่เสมอ ทำให้การควบคุมกำลังคนภาครัฐไม่เป็นไปตามกรอบนโยบาย      และขณะนี้คณะ   
กรรมการปฏิรูประบบราชการ (ปรร.)  กำลังพิจารณากำหนดมาตรการในเรื่องนี้อยู่ตามแผนแม่บท  
การปฏิรูประบบราชการ        จึงสมควรให้มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทบทวนมติคณะ 
รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป

          รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำป่าสัก ฯ  ครั้งที่ 1/2541 
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2541   ตามที่ศูนย์ประสานการปฏิบัติการโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก  อันเนื่องมาจาก  
พระราชดำริ เสนอ สรุปได้ดังนี้
          1. ที่ประชุมมีมติรับทราบ
              1.1 สรุปผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ทั้ง 7 คณะ
              1.2 การจัดทำและติดตั้งบานประตูควบคุมการระบายน้ำของโครงการเขื่อนเก็บกักน้ำแม่น้ำป่าสัก 
ของกรมชลประทาน 
          2. ที่ประชุมมีมติในเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้
              2.1 เห็นชอบแผนปฏิบัติการจัดหาที่ดินโดยวิธีเวนคืนที่ดินและแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านการจัด
หาที่ดิน  ตามที่คณะอนุกรรมการจัดหาที่ดิน ฯ  เสนอ 
              2.2 ให้กรมชลประทานดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเดิมที่ตั้งไว้ คือ ให้เริ่มเก็บกักน้ำในวันที่ 15  
มิถุนายน 2541
              2.3 เห็นชอบการปรับแผนงาน และงบประมาณเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพ 
ที่ดินแปลงอพยพ
              2.4 ให้จังหวัดลพบุรี และ การรถไฟแห่งประเทศไทย  ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินใน 
จุดที่ยังไม่สามารถเข้าดำเนินการได้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
              2.5 ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาหาแนวทางแก้ไขให้การรถไฟแห่งประเทศไทย  ในเรื่องงบประ 
มาณที่จะต้องนำมาใช้ในการปรับปรุงระบบสุขาให้ถูกหลักสุขาภิบาลในขบวนรถโดยสาร     ในเส้นทางแก่ง
คอย - บัวใหญ่ ซึ่งในหลักการให้การรถไฟ ฯ ลงทุนด้วยตนเอง 
              2.6 เห็นชอบให้กรมชลประทานเจียดจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2541    จำนวน 2,674,156  
บาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับมวลชน โครง    
การพัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก ฯ ตามแผนงานที่ได้เสนอไว้
              2.7 เห็นชอบตามที่จังหวัดลพบุรี  เสนอขออนุมัติเบิกจ่ายเงินที่คลังจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็นกรณีพิเศษ  
เพื่อใช้ในโครงการป่าสัก ฯ นอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติให้เบิกจ่ายตามปกติ โดยให้กระทรวงการคลังรับไป
ดำเนินการต่อไป
              2.8  เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2540     ที่กรมชลประทาน  และ 
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ขอกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี กรณีไม่มีหนี้ผูกพัน สำหรับโครงการ
พัฒนาลุ่มน้ำป่าสัก ฯ ให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายไปจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2541 โดยให้ทั้งสองหน่วยงาน
ประสานในรายละเอียดกับกระทรวงการคลังต่อไป

          1. รับทราบผลการเจรจาบอกเลิกสัญญาโครงการปรับปรุงระบบงานกรรมวิธีภาษีสรรพากรด้วยระบบ
คอมพิวเตอร์ กับกลุ่มบริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
          2. อนุมัติให้กรมสรรพากรดำเนินโครงการปรับปรุงระบบงานกรรมวิธีภาษีสรรพากรด้วยระบบคอมพิว    
เตอร์ตอ่ไปตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ใช้เงินที่มีเหลืออยู่จำนวน 425,771,929.47 บาท  เพื่อเป็นค่า   
ใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ    หากปรากฎว่ามีความจำเป็นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าเงินที่มีเหลืออยู่จำนวน   
ดังกล่าว ก็ให้กรมสรรพากรเสนอขอตั้งงบประมาณปี 2542  สำหรับส่วนที่ขาดอยู่ตามความจำเป็น   ตามความ 
เห็นของสำนักงบประมาณต่อไป  

          เห็นชอบให้กระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบงานปรับปรุงศูนย์การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13  
ศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเป็นสถานที่แข่งขันและที่พักนักกีฬา  สำหรับการจัดการแข่งขันกีฬา  
คนพิการเฟสปิกเกมส์ ครั้งที่ 7 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอ และเพื่อให้งานสามารถดำเนินไป โดยไม่เป็น  
อุปสรรคต่อการก่อสร้างศูนย์การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์  ครั้งที่ 13          จึงอนุมัติให้กระทรวงการคลังและ 
คณะกรรมการอำนวยการก่อสร้างศูนย์การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ศูนย์รังสิต  มหาวิทยาลัยธรรม   
ศาสตร์ ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ    สำหรับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงให้ดำนินการใน  
วงเงิน 74,271,000 บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2541  งบกลาง  ราย  
การค่าใช้จ่ายสนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬาเฟสปิกเกมส์ ครั้งที่ 7   โดยเบิกจ่ายในลักษณะหมวดค่าครุภัณฑ์ 
ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง  เพื่อเป็นค่าก่อสร้างปรับปรุง  ค่าออกแบบ   และค่าควบคุมงานก่อสร้างปรับปรุงดังกล่าว 
และให้กระทรวงการคลังซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงานตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดค่าใช้จ่าย  และ  
แผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องกับการดำเนินงานในปีงบประมาณ  พ.ศ.  2541    และปีงบประมาณ 
พ.ศ. 2542 อีกครั้งหนึ่งตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

          1. เห็นชอบการปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8  ในส่วนของแนวทางการ 
พัฒนาและแนวทางการดำเนินงานไปสู่การปฏิบัติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ    
และสังคมแห่งชาติ เสนอ  ยกเว้นในส่วนของเป้าหมายเศรษฐกิจส่วนรวม ให้รอทบทวนสถานการณ์ให้มี
ความชัดเจนกว่าปัจจุบัน รวมถึงผลการประเมินเศรษฐกิจไทยร่วมกับ IMF ก่อน
          2. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับประเด็นความเห็นของ
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
              2.1 สถานการณ์เศรษฐกิจในยังมีความผันผวน ไม่สามารถสรุปทิศทางที่ชัดเจนได้  นอกจาก
นั้นรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการหารือกับ IMF     จึงไม่เหมาะสมที่จะประกาศตัวเลขเป้าหมายอัตราการ 
เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในขณะนี้ เพราะอาจจะเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง 
              2.2 กรอบแนวทางการปรับแผนพัฒนา ฯ  ฉบับที่ 8       มีความเหมาะสมเพราะเป็นการส่ง 
สัญญาณถึงนโยบายของชาติในระยะยาวใน 4 เรื่องที่สำคัญ   คือ  การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ  
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก การพัฒนาคนและสังคมเพื่อ
ลดผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และการปรับระบบบริหารจัดการเพื่อพัฒนาประเทศ
              2.3 ในขั้นตอนการนำกรอบแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 8   ซึ่งปรับปรุงแล้วนี้ไปปฏิบัติ   ควรเน้น 
รายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ  โดยมองในระยะยาวว่าควรจะต้องปรับอย่าง
ไร เช่น การปรับปรุงผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น   มอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ   
และสังคมแห่งชาติ รับไปศึกษาและเสนอนโยบายระยะยาว    ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายใต้ 
คณะกรรมการปรับโครงสร้างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนั้น  อาจจะมีข้อจำกัดไม่สามารถ 
มองระยะยาวได้ เพราะมีภารกิจจำกัดอยู่ในกรอบแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น
          ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ
 

          รับทราบและเห็นชอบการปรับปรุงระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ  ตามที่กระทรวง 
การคลัง เสนอ ดังนี้ 
          1. รับทราบมาตราระยะสั้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายสวัสดิการรักษาพยาบาล ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 
และแผนการปรับปรุงระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการระยะยาว โดยให้รับข้อสังเกตของคณะ
รัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้
              1.1 การยกเลิกการเบิกค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็น อาทิ "การเสริมความงาม"  ควร  
จะกำหนดนิยามในชัดเจน เช่น การรักษาโรคผิวหนังและการทำฟันจัดอยู่ในประเภท "การเสริมความงาม"  
หรือไม่
              1.2 การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นการป้องกันก่อนที่จะมีการเจ็บป่วยหรือเจ็บป่วยมากขึ้น   จึง
เห็นควรให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีได้เฉพาะในสถานพยาบาลของรัฐ
          2. เห็นชอบให้ยกเลิกสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอกชน     และอนุมัติ  
หลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....     และให้ส่ง   
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  แล้วดำเนินการต่อไปได้          โดยให้รับข้อสังเกตของ 
คณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วยว่า   การยกเลิกสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลเอก
ชน นั้น กรณีข้าราชการประสบอุบัติเหตุ หรือกรณีจำเป็นและฉุกเฉินอื่น ๆ ควรยกเว้นให้เข้ารับการรักษา 
พยาบาลเบื้องต้นในสถานพยาบาลของเอกชนได้เป็นการชั่วคราว ก่อนจะย้ายไปรักษาพยาบาลในสถาน 
พยาบาลของรัฐต่อไป   
          3. ให้กระทรวงการคลังรับไปปรับปรุงระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของพนักงานรัฐ 
วิสาหกิจให้เป็นไปตามหลักการเดียวกับข้าราชการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนด้วย

           อนุมัติ หลักการร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรม 
เสนอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงเพิ่มจำนวนเงินที่เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้จากห้าหมื่นบาทเป็น
ห้าแสนบาทในกรณีบุคคลธรรมดา  และจากห้าแสนบาทเป็นหนึ่งล้านบาทในกรณีนิติบุคคล  แก้ไข
จำนวนเงินที่โจทก์ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายต่อศาลจากหนึ่งพันบาทเป็นห้าพันบาท  รวมทั้งการ
แก้ไขคำว่ากริยาของลูกหนี้     เพื่อให้มีความครอบคลุมยิ่งขึ้น    และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ
กฤษฏีกาตรวจพิจารณา  โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณา  แล้วส่งสำนักงานคณะ
กรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฏรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฏรพิจารณาต่อไป

          เห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 37/2541 ลงวันที่ 19 มกราคม 2541  เรื่อง   
แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้าง    และมีคำสั่ง   
แต่งตั้ง    "คณะกรรมการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้างและผู้ประ  
กอบอาชีพงานอื่นกับทางราชการ ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา"  
ใหม่ โดยให้รวมถึงผู้ประกอบอาชีพงานอื่นกับทางราชการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงระบบ
การแลกเปลี่ยนเงินตรา  โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล) เป็น
ประธานกรรมการปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เป็นรองประธาน  
กรรมการ  และกรรมการอื่นอีก 18 ราย  และมีผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานงบประมาณ  สำนักงบ  
ประมาณ เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 
ให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพ
งานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540  และผู้ประกอบอาชีพงานอื่นกับทาง
ราชการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา   พร้อมเสนอมาตรการคลี่
คลายปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 
พ.ศ. 2541 เป็นต้นไป  ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  เสนอ

          คณะรัฐมนตรีมีมติ อนุมัติให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย 
ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ โดยให้แต่งตั้งตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ดังนี้
          1. นายประเสริฐ  สมะลาภา  เป็นกรรมการ แทน นายมนู  เลียวไพโรจน์
          2. พลตำรวจโท ณรงค์วิช  ไทยทอง  เป็นกรรมการ แทน นายชาตรี  สุวรรณิน
          3. นายสมพล  เกียรติไพบูลย์  เป็นกรรมการ แทน พลเอก นฤนาท  กัมปนาทแสนยากร
          4. นายสมชาติ  พรรณพัฒน์  เป็นกรรมการ แทน นายโกวิท  ภูตะคาม

          เห็นชอบหลักการการปรับปรุงการดำเนินงานขององค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (อบส.) 
ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ  โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของเลขาธิการคณะ   
รัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับปรุงการดำเนินงานขององค์การฯ ไปพิจารณาในขั้นการตรวจพิจารณา หากข้อ 
ใดสามารถดำเนินการได้  ก็ให้ดำเนินการต่อไป   แต่หากการดำเนินงานใดจำเป็นต้องอาศัยการตราเป็น 
พระราชบัญญัติ ให้กระทรวงการคลังยกร่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป 

          รับทราบรายงานสรุปผลการเยือนสหรัฐอเมริกาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะ     ระหว่าง
วันที่ 19 - 25 มกราคม 2541 ตามที่กระทรวงการคลัง รายงาน สรุปได้ดังนี้
          1. บุคคลสำคัญที่ได้มีโอกาสเข้าพบปรึกษาหารือข้อราชการ 
              ได้มีโอกาสปรึกษาหารือข้อราชการกับ นายบิล  คลินตัน  ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา     นายอัลเบิร์ต   
กอร์ รองประธานาธิบดี  นายโรเบิร์ต  รูบิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  นางเมดอลิน  อัลไบร์ท รัฐมนตรีว่า 
การกระทรวงการต่างประเทศ นายซามวล  เบอร์เกอร์  ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นายมิเชล  แคมเดอซู  กรรมการ  
ผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ    รวมทั้ง  นาย  
ซาเวน แซมสตรอม   กรรมการผู้จัดการธนาคารโลก (รักษาการประธานธนาคารโลก) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ 
ธนาคารโลก
          2. ผลการปรึกษาหารือข้อราชการกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐ ฯ  
              2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เรียนให้ นายรูบิน  ทราบถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยต่อการ 
ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ   ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการดำเนินการ  
เพื่อปรับปรุงโครงสร้างและสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงิน ซึ่งนายรูบิน ได้ให้คำมั่นว่า  สหรัฐอเมริกาจะ  
ให้การสนับสนุนการให้เงินทุนอย่างเพียงพอและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศเพื่อการปฏิรูปเศรษฐ 
กิจของไทย
              2.2 นางอัลไบร์ท ได้เรียนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบว่า ประธานาธิบดีคลินตัน และคณะ
ผู้ดำเนินนโยบายต่างประเทศได้ติดตามเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด   และแสดงความชื่น 
ชมต่อคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของรัฐบาลไทย 
              2.3 นายเบอร์เกอร์ ย้ำว่าสหรัฐ ฯ    มีความชื่นชมยกย่องการดำเนินการของรัฐบาลไทยท่านกลางภาวะ   
แวดล้อมที่ผันผวนในภูมิภาค และตระหนักว่าปัญหาของไทยกำลังได้รับการแก้ไขอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
              2.4 ประธานาธิบดีคลินตัน ได้กล่าวว่า สหรัฐ ฯ พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ไทยในทุก ๆ ด้าน   และ 
ให้ความมั่นใจว่าจำนวนเงินกู้ที่ไทยจะได้รับจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศจะมีจำนวนอย่างเพียงพอ  นอกจาก  
นี้   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ฯ    กำลังพิจารณาข้อเสนอของไทยเรื่องการชำระค่าอาวุธยุทโธป  
กรณ์อยู่       และได้เรียนเชิญนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) อย่างเป็นทางการ  เพื่อเดินทางมาเยือนสหรัฐ ฯ 
ประมาณกลางเดือนมีนาคม 2540     ทั้งนี้   เพื่อเป็นการแสดงความสนับสนุนไทยในการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ 
ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
          3. ผลการปรึกษาหารือกับ นายซาเวน  แซมสตรอม  กรรมการผู้จัดการธนาคารโลก  และเจ้าหน้าที่ระดับ 
สูง เกี่ยวกับ
              3.1 การจัดเงินกู้เพื่อรองรับปัญหาทางสังคม (Social Safety Net Loan)     ธนาคารโลกกำลังพิจารณา  
ศึกษาการให้ความช่วยเหลือ   การกำหนดมาตรการรองรับปัญหาทางสังคม  เพื่อปกป้องผู้ยากไร้และผู้อ่อนแอใน 
สังคมช่วงวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ        
              3.2 เงินกู้ค้ำประกันโดยธนาคารโลก (IBRD Guarantee Loan)    ธนาคารโลกและกระทรวงการคลังจะ 
ได้ศึกษาร่วมกันเกี่ยวกับวิธีการระดมเงินทุนในตลาดการเงิน เพื่อใช้ตามความจำเป็นในอนาคต
          4. ผลการปรึกษาหารือกับ นายมิเชล แคมเดอซู กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ   และ                
เจ้าหน้าที่ระดับสูง
              4.1 กองทุนการเงินระหว่างประเทศมีความเห็นว่า   รัฐบาลไทยดำเนินแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจได้ก้าว  
หน้าและน่าประทับใจมาก       โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ผลการดำเนินมาตรการตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นไปตาม
เกณฑ์ปฏิบัติที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้กำหนดไว้
              4.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง     ได้ชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินมาตรการ 
ตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงต่อไปว่าอาจจะมีความยากลำบากมากขึ้น    ทั้งนี้   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ   
คลังได้เสนอมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศพิจารณาปรับปรุงแผนปฏิบัติการ เพื่อ 
ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป 
              4.3 กองทุนการเงินระหว่างประเทศทราบปัญหา อุปสรรค และเห็นด้วยที่จะต้องมีการปรับปรุงแผน 
การปฏิรูปเศรษฐกิจในทุกด้านเพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น      โดยจะให้มีการปรับปรุงระหว่างการทบทวนผล
การปฏิบัติการครั้งที่สองที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2 - 14 กุมภาพันธ์ 2541 ที่กรุงเทพ ฯ 
 

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายและประสานงานการดำเนินการให้เป็น
ไปตามรัฐธรรมนูญรายงานความคืบหน้าและผลการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ โดยได้แต่งตั้งคณะอนุ
กรรมการพิจารณากำหนดรูปแบบและสถานภาพของหน่วยงานธุรการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ  โดยมี
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เป็นประธานอนุกรรมการ  กับแต่งตั้งคณะ
กรรมการปรับปรุงกฎหมายปกครองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น  โดยมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายพิชัย รัตตกุล) เป็นประธานกรรมการ

          รับทราบรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพิจารณาศึกษาเรื่อง การเสริมสร้างคุณภาพ 
ในการให้บริการประชาชนโดยรัฐ   ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา รายงาน   และมอบให้กระทรวง 
ทบวง  กรม  ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ   แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบเพื่อ  
นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ 
          1. ต้องคำนึงถึงประชาชนโดยรับฟังและปรับปรุงการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของ
ประชาชน
          2. ต้องคำนึงถึงผลที่เกิดมากกว่ากระบวนการ กฎ  ระเบียบ  ขั้นตอน  แบบฟอร์ม  หรือเงื่อนไข   
ต่าง ๆ และรัฐบาลต้องให้ความสนใจในการประเมินผลการบริการอย่างจริงจัง   และใช้ผลการประเมิน  
นั้นเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงแก้ไข   ตลอดจนควรให้รางวัลหรือลงโทษเจ้าหน้าที่ของหน่วยบริการ 
อย่างจริงจัง
          3. ต้องมีคุณภาพ กล่าวคือ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต้องกำหนดมาตรฐานบริการที่ประชาชน
จะได้รับ ต้องประกาศมาตรฐานดังกล่าว  และต้องพยายามยกระดับมาตรฐานบริการอย่างต่อเนื่อง
          เพื่อให้เกิดผลอย่างแท้จริง รัฐบาลต้องกำหนดเป้าหมายของการบริการให้ชัดเจนสามารถประเมิน 
เมินผลได้อย่างเป็นธรรม    นอกจากนี้ต้องกำหนดนโยบายกำกับการให้บริการโดยหน่วยงานของรัฐ   
ต้องกำหนดยุทธศาตร์บริการ กำหนดมาตรฐานและกำหนดกลไกในการตรวจสอบดูแลการให้บริการ 
ที่มีคุณภาพซึ่งมีมาตรฐานที่สามารถวัดและประเมินผลได้