ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 1 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 1 จากข้อมูลทั้งหมด 1 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ |
---|---|---|---|
1 | ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 12/06/2550 |
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติอนุมัติ
หลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เนื่องจากมีบทบัญญัติบางประการที่ไม่อาจนำ มาบังคับใช้ในการดำเนินคดีพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การกำหนดลักษณะคดีพิเศษยังไม่ครอบคลุมถึงคดี ความผิดทางอาญาที่พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจเป็นผู้เสียหาย ผู้ต้องสงสัย ผู้ถูกกล่าวหา การไม่มีผู้ชี้ขาด กรณีมีข้อโต้แย้งว่าคดีใดเป็นหรือไม่เป็นคดีพิเศษ และการที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไม่สามารถสอบสวนคดีพิเศษ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นผู้กระทำผิดได้จนแล้วเสร็จ เป็นต้น และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ และข้อสังเกตของ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย โดยในส่วนของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ มีความเห็นในบาง ประเด็นดังนี้ การกำหนดให้คดีความผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้เสียหาย ผู้ต้องสงสัย ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหา เป็นคดีพิเศษตามร่างมาตรา 4 นั้น กำหนดไว้ค่อนข้างกว้าง เพราะหากเกิดกรณีที่พนัก งานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีธรรมดา เช่น คดีลักทรัพย์ ก็อาจทำให้กลายเป็นคดีพิเศษไป ด้วย จึงเห็นควรกำหนดไว้ชัดเจน ส่วนการกำหนดให้พนักงานคดีพิเศษมีอำนาจร้องขอเจ้าพนักงานอื่นของรัฐให้ ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคดีพิเศษตามร่างมาตรา 9 เป็นกรณีที่มีความจำเป็น แต่การช่วยเหลือ สนับสนุนหรือเข้าร่วมดังกล่าวต้องมิให้เกิดความเสียหายแก่ภารกิจของหน่วยงานต้นสังกัด รวมทั้ง จะต้องไม่ก่อให้เกิดความรับผิดแก่เจ้าพนักงานที่เข้าช่วยเหลือทั้งในทางแพ่งและทางอาญาด้วย และการกำหนดให้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจฟ้องคดีได้ นั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือ อาจทำให้ระบบการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง คดีแตกออกเป็นหลายระบบซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาการควบคุมในประสิทธิภาพของการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีได้ เป็นต้น แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติพิจารณาต่อไป และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงกลาโหม และข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีไปพิจารณาเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามร่างพระราชบัญญัติ ฯ ซึ่งมี วาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ อาจไม่สอดคล้องกับกฎหมายเดิมและกฎหมายอื่น ที่จำกัดจำนวนวาระการดำรงตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไว้ เพื่อมิให้เกิดปัญหาในส่วนที่เกี่ยวกับการแสวง หาประโยชน์หรือใช้อิทธิพลใด ๆ จึงสมควรจำกัดวาระที่สามารถดำรงตำแหน่งไว้ให้ชัดเจน และการให้อธิบดีเป็นผู้ ชี้ขาดกรณีมีการโต้แย้ง หรือสงสัยว่าการกระทำใดเป็นความผิดคดีพิเศษ ควรพิจารณาว่าหากจะให้คณะกรรมการ ทำหน้าที่ชี้ขาดกรณีดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ นอกจากนี้ ให้พิจารณาศึกษาและติดตามแนวทางประเด็นเกี่ยวกับ อำนาจในการฟ้องคดีของหน่วยงานอื่น ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ในร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับใหม่ประกอบด้วย |
.....