ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 520 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 10389 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง | วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1 | มอบหมายผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร. | 25/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีแจ้งว่า ในช่วงระยะเวลาต่อจากนี้
นายกรัฐมนตรีมีภารกิจสำคัญ เร่งด่วน
และจำเป็นที่จะต้องอยู่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องภายในประเทศ
จึงขอความเห็นชอบเป็นหลักการว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน
ครั้งที่ ๔๗ การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๓๒
และการประชุมที่เกี่ยวข้องได้
มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้เข้าร่วมการประชุมและดำเนินการต่าง
ๆ แทนนายกรัฐมนตรี ตามแต่กรณีต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายพลพงศ์ วังแพน ฯลฯ จำนวน 6 ราย) | กต. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ
จำนวน ๒ ราย ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. นายพลพงศ์ วังแพน           ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๒. นางจิราพร จิรำไพกูล         ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัมมาน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ๓. นายพิษณุ โสภณ              ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายธนพ ปัญญาพัฒนากุล   ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายณัฐพงศ์ สิทธิชัย          ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๑.๖ นางสาวปฤณัต อภิรัตน์     ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ
กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 3 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ และนางจุฬามณี ชาติสุวรรณ) | กต. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ      ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๒. นางจุฬามณี ชาติสุวรรณ      ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 4 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑
ตุลาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง     (นายเอกนิติ
นิติทัณฑ์ประภาศ) ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 5 | การรับสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์–เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน | กต. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อการรับติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน
รวมทั้งให้ความเห็นชอบต่อร่างภาคยานุวัติสารต่อกฎบัตรอาเซียนและร่างปฏิญญาว่าด้วยการรับสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
เข้าเป็นสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามในร่างปฏิญญาว่าด้วยการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
โดยให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบองค์กรเฉพาะสาขาของอาเซียนร่วมจัดทำภาคยานุวัติสารของติมอร์-เลสเตในการเข้าเป็นภาคีตราสารทางกฎหมายของอาเซียนทั้ง
๒๔๑ ฉบับ ตามข้อ ๓.๒ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานฯ
โดยหากภาคยานุวัติสารฉบับใดทำให้ไทยมีพันธกรณีหรือข้อผูกพันเพิ่มเติม
ขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเป็นรายฉบับอีกครั้งต่อไป
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 6 | ร่างปฏิญญาร่วมทางการเมืองปารีสว่าด้วยการบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสตรีและเด็กหญิง และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการขับเคลื่อนสิทธิสตรีในนโยบายต่างประเทศ | กต. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมทางการเมืองปารีสว่าด้วยการบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ
การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสตรีและเด็กหญิง
และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการขับเคลื่อนสิทธิสตรีในนโยบายต่างประเทศ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับร่างปฏิญญาร่วมทางการเมืองปารีสว่าด้วยการบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ
การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสตรีและเด็กหญิง และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการขับเคลื่อนสิทธิสตรีในนโยบายต่างประเทศ
โดยร่างปฏิญญาร่วมทางการเมืองปารีสฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสตงเจตนารมณ์ทางการเมืองระดับรัฐมนตรีเพื่อเน้นย้ำการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสตรีและเด็กหญิง
ความเท่าเทียมทางเพศ และสนับสนุนการบูรณาการแนวคิดสตรีนิยมในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ
ตลอดจนย้ำถึงความสำคัญของหลักนิติธรรม ประชาธิปไตย พหุภาคีนิยม และความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชน
โดยยืนยันพันธกรณีและความมุ่งมั่นร่วมกันของรัฐต่าง ๆ
ในการดำเนินการตามกรอบที่มีอยู่ เช่น
อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ และปฏิญญาและแผนปฏิบัติการปักกิ่งเพื่อความก้าวหน้าของสตรี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมทางการเมืองปารีสฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 7 | รัฐบาลฮังการีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งฮังการีประจำประเทศไทย | กต. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวซิลเวีย ซอโลกี (Ms. Szilvia Szaloki) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งฮังการีประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายชานโดร์ ชีโปช (Mr. Sandor
Sipos) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ ได้ยกเลิกชั้นความลับนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๘) 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8 | การลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ | ดศ. | 21/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในอนุสัญญาดังกล่าว
โดยอนุสัญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งรัฐภาคีที่เข้าร่วมการลงนามต้องนำมาตรการตามอนุสัญญานี้มาบัญญัติใช้ภายใต้กฎหมายภายในของประเทศตน
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และเมื่อลงนามแล้วให้ส่งอนุสัญญาฯ
ดังกล่าว ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราขอาณาจักรไทย ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติ
มาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย) ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ๓ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล)
อย่างเคร่งครัดในภายหน้าต่อไปด้วย ๔
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาจัดทำคำประกาศหรือถ้อยแถลงขณะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันได้ตามความเหมาะสม
และให้นำส่งสัตยาบันสารของหนังสือสัญญาให้แก่เลขาธิการสหประชาชาติเพื่อเก็บรักษา
เมื่อรัฐสภามีมติเห็นชอบหนังสือสัญญาแล้ว ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นว่าการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล สิทธิส่วนบุคคล
และการใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศ
ทั้งยังสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางวิชาการตามมาตรฐานสากล | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 9 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | รง. | 14/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๔
ตุลาคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน                                   ประธานกรรมการ ๒. ปลัดกระทรวงแรงงาน                                                รองประธานกรรมการ ๓. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ                                      กรรมการ ๔. ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา                               กรรมการ ๕. ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์      กรรมการ ๖. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์                                   กรรมการ ๗. ปลัดกระทรวงพาณิชย์                                                กรรมการ ๘. ปลัดกระทรวงมหาดไทย                                              กรรมการ ๙. ปลัดกระทรวงยุติธรรม                                                กรรมการ ๑๐. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ                                           กรรมการ ๑๑. ปลัดกระทรวงสาธารณสุข                                          กรรมการ ๑๒. ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม                                         กรรมการ ๑๓. ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม                     กรรมการ ๑๔. ปลัดกรุงเทพมหานคร                                               กรรมการ ๑๕. อัยการสูงสุด                                                          กรรมการ ๑๖. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ                                         กรรมการ ๑๗. เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด    กรรมการ ๑๘. เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ                 กรรมการ ๑๙. อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง               กรรมการ ๒๐. อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน                      กรรมการ ๒๑.
ผู้อำนวยการสำนักประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ      กรรมการ       สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
กระทรวงแรงงาน ๒๒. ประธานมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก                                       กรรมการ ๒๓. ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก                            กรรมการ ๒๔. ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย                   กรรมการ ๒๕. ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย           กรรมการ ๒๖. หัวหน้าทีมนโยบายเพื่อการพัฒนาสังคม                          กรรมการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ๒๗. ผู้อำนวยการสำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ                  กรรมการ       ประจำประเทศไทย
กัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒๘. อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน                         กรรมการ และเลขานุการ       กระทรวงแรงงาน ๒๙. ผู้อำนวยการกองคุ้มครองแรงงาน                                 กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ       กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กระทรวงแรงงาน ๓๐. ผู้อำนวยการกลุ่มงานแรงงานหญิง เด็ก                           กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ       และเครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน
กองคุ้มครองแรงงาน       กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
กระทรวงแรงงาน 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 10 | การเจรจาการค้าระหว่างประเทศของไทยกับสหรัฐอเมริกา | นร.04 | 14/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยมีภารกิจเร่งด่วนสำคัญประการหนึ่งคือ
การเร่งดำเนินการเจรจาเพื่อลดภาษีการค้ากับสหรัฐอเมริกาและการเร่งสรุปความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป
เพื่อวางรากฐานทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของประเทศในระยะยาว เนื่องจากแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยแต่นโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกาได้ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจของไทย
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งการเจรจาในรายละเอียดเพื่อลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่าหรืออย่างน้อยไม่เกินระดับปัจจุบันที่ร้อยละ
๑๙ แล้วจัดทำเป็นความตกลง (Agreement) ระหว่างกันต่อไป เพื่อปกป้องภาคการส่งออก ภาคเกษตร
ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ในการนี้จะมีการแต่งตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์เจรจาการค้าสหรัฐอเมริกาขึ้น
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) เป็นประธาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธาน ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือผู้แทน และหัวหน้าส่วนราชการ/หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือผู้แทน
เป็นคณะทำงาน โดยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้แทน เป็นคณะทำงานและเลขานุการ
มีหน้าที่และอำนาจประการหนึ่งในการพิจารณากำหนดท่าทีและแนวทางการเจรจาทำความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทย
และจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานเชิงธุรกิจทั้งด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในการสั่งการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
จึงขอกำชับให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกท่านพิจารณาเสนอความเห็น
รวมทั้งสั่งการกับผู้เข้าร่วมเจรจาในเรื่องจำเป็นที่อยู่ในความรับผิดชอบให้เหมาะสมและละเอียดรอบคอบ เพื่อร่วมกันหาทางออกในการเจรจาการค้าในครั้งนี้ให้ได้ข้อยุติที่พึงพอใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายในเวลาที่เหมาะสมและรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์สูงสุดโดยรวมของประเทศ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 11 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 12 | ร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Petroleum Security) | พน. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความมั่นคงทางปิโตรเลียมของอาเซียน
(ASEAN Framework Agreement on Petroleum Security) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นผู้ลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางปิโตรเลียมของประเทศสมาชิกอาเซียน
ผ่านการดำเนินการตามมาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เช่น (๑) ในช่วงที่ประเทศสมาชิกอาเซียนประสบปัญหาขาดแคลนปิโตรเลียมระดับวิกฤตจะต้องดำเนินมาตรการระยะสั้นเพื่อลดปริมาณความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศก่อนที่จะขอความช่วยเหลือ
(๒)
ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องพยายามจัดหาปิโตรเลียมให้แก่ประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาการขาดแคลนปิโตรเลียมในปริมาณรวมกันให้ได้ร้อยละ
๑๐ ของความต้องการใช้ภายในประเทศ (๓) สำรวจแหล่งหาปิโตรเลียมใหม่ และ (๔)
เปิดเสรีตลาดน้ำมันและก๊าซ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นควรให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 13 | ร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (Enhanced Memorandum of Understanding on ASEAN Power Grid) | พน. | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
(Enhanced Memorandum of Understanding on ASEAN
Power Grid) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจเพิ่มเติมว่าด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญ เช่น การพัฒนาโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
โดยประเทศสมาชิกจะต้องพัฒนาแผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานและเตรียมการดำเนินงานเพื่อให้โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียนเริ่มดำเนินการซื้อขายไฟฟ้าแบบพหุภาคีระหว่างรัฐสมาชิกและอำนวยความสะดวกให้เกิดศักยภาพการเข้าถึงการจัดหาเงินทุนต่าง
ๆ เพื่อการศึกษาวิจัย การก่อสร้าง การดำเนินงาน การบำรุงรักษา การขยาย และการพัฒนาเพิ่มเติมของโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงพลังงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 14 | การแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ | นร.05 | 07/10/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ
โดยให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย
และให้จัดทำเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. นายกรัฐมนตรี                                                     ประธานกรรมการ ๒. รองนายกรัฐมนตรี                                                รองประธานกรรมการ     (นายเอกนิติ
นิติทัณฑ์ประภาศ) ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง                               กรรมการ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ                     กรรมการ ๕. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา              กรรมการ ๖. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์                  กรรมการ ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม                              กรรมการ ๘. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล                                 กรรมการ     เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๙. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน                               กรรมการ ๑๐. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์                             กรรมการ ๑๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย                           กรรมการ ๑๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน                             กรรมการ ๑๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม                       กรรมการ ๑๔. ปลัดกระทรวงการคลัง                                         กรรมการ ๑๕. ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ                                กรรมการ ๑๖. ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา                        กรรมการ ๑๗. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์                            กรรมการ ๑๘. ปลัดกระทรวงคมนาคม                                        กรรมการ ๑๙. ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม                กรรมการ ๒๐ ปลัดกระทรวงพลังงาน                                          กรรมการ ๒๑. ปลัดกระทรวงพาณิชย์                                         กรรมการ ๒๒. ปลัดกระทรวงมหาดไทย                                       กรรมการ ๒๓. ปลัดกระทรวงแรงงาน                                          กรรมการ ๒๔. ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม                                    กรรมการ ๒๕. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา                            กรรมการ ๒๖. เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน                  กรรมการ ๒๗. เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ     กรรมการ ๒๘. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ                                กรรมการ ๒๙. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย                             กรรมการ ๓๐. เลขาธิการคณะรัฐมนตรี                                        กรรมการ และเลขานุการ ๓๑. ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง                     กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ ๓๒. รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ                       กรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการ       และสังคมแห่งชาติ
ที่ได้รับมอบหมายจากเลขาธิการ       สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 15 | คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา | นร.05 | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
และมอบอำนาจให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาปรับแก้ไขร่างคำแถลงนโยบายฯ
ให้มีความเหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก่อนนำเสนอไปยังรัฐสภาต่อไป ๒.
มอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปประสานเพื่อแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบว่า คณะรัฐมนตรีมีความพร้อมที่จะแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาได้ตั้งแต่วันที่
๒๙ กันยายน ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ๓.
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแปลคำแถลงนโยบายฯ เป็นภาษาอังกฤษ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 16 | การเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 | นร. | 24/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้ตามความจำเป็นเหมาะสมเพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
ทั้งยังเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพราะการประชุมสมัชชาสหประชาชาติมีกำหนดการแน่นอนไม่อาจเลื่อนได้
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอว่า
ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ
สมัยที่ ๘๐ (UNGA 80) ในช่วงสัปดาห์ผู้นำ (High-Level
Week) ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ ณ นครนิวยอร์ก
ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีกำหนดการไปกล่าวถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติในวันที่ ๒๗
กันยายน ๒๕๖๘ และพบปะหารือกับเลขาธิการสหประชาชาติ รวมทั้งจะใช้โอกาสนี้ชี้แจงท่าทีไทยต่อที่ประชุมและประชาคมโลกในประเด็นไทย-กัมพูชา
ให้ทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ที่ถูกต้องและชัดเจนเพื่อมิให้ฝ่ายกัมพูชาใช้เวทีสหประชาชาติในการผลักดันท่าทีของตนหรือเสนอข้อมูลฝ่ายเดียว เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า
คณะรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้วในวันนี้
จึงเข้ารับหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ตามมาตรา ๑๖๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่โดยที่มาตรา ๑๖๒ ของรัฐธรรมนูญฯ
ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ
แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วนซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้
ดังนั้น
กรณีการเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศ
หากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่ได้มีการกำหนดช่วงเวลาไว้แล้ว
จึงสามารถดำเนินการได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าว
เพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ ในครั้งนี้
เป็นไปเพื่อรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศและจะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย
นอกจากนี้ การอนุมัติให้เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ
ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในทำนองเดียวกันนี้
ในอดีตได้เคยมีการดำเนินการมาแล้วดังเช่นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน
๒๕๕๑ รับทราบการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(ในขณะนั้น) เดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๖๓ ระหว่างวันที่ ๒๖
กันยายน - ๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อสมัชชาสหประชาชาติในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๑ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(ในขณะนั้น) ก็มีความเห็นว่า
การเดินทางไปร่วมการประชุมดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่ได้มีการกำหนดช่วงเวลาไว้แล้ว
จึงน่าจะดำเนินการได้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๑๗๖ วรรคสอง ที่บัญญัติให้ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง
หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน
คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้
รวมทั้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น) ก็มีความเห็นว่าการประชุมดังกล่าวจะมีผู้แทนไทยไปร่วมการประชุมทุกปีและถือเป็นพันธกรณี
การไปร่วมประชุมจะเป็นประโยชน์
ถ้อยแถลงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะไปกล่าวต่อที่ประชุมตามปกติจะเป็นการแสดงทัศนคติในประเด็นต่าง
ๆ ด้วย ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบาลแต่ประการใด 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 17 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2568 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๘ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ จังหวัดเชจู สาธารณรัฐเกาหลี
โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑) วาระการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประกอบด้วย
วาระนวัตกรรมเพื่อการอำนวยความสะดวกทางการค้า
เพื่อผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ วาระการสร้างความเชื่อมโยงผ่านระบบการค้าพหุภาคี
ซึ่งที่ประชุมหารือถึงการผลักดันการปฏิรูป WTO ให้รองรับความท้าทายในปัจจุบัน
และวาระการสร้างความมั่งคั่งผ่านความยั่งยืนทางการค้า ซึ่งที่ประชุมหารือถึงการพัฒนานโยบายเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานเพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจการค้า
๒) ที่ประชุมมีฉันทามติรับรองแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (2025 APEC Ministers Responsible for Joint Statement) และ ๓)
การประชุมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจของสมาชิกอาเซียนที่เป็นสมาชิกเอเปค
การหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นและการหารือทวิภาคีกับบริษัท
Google ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 18 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้วาฬหลังค่อม (Megaptera novaeangliae) วาฬเบลนวิลล์ (Mesoplodon
densirostris) และโลมาริสโซ (Grampus griseus)
เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงกำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิด
เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นควรพิจารณาแจ้งเรื่องการเพิ่มสถานะความคุ้มครองสัตว์ป่าตามกฎหมายของประเทศไทยให้แก่สัตว์ทั้ง
๓ ชนิดพันธุ์ข้างต้น ให้ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์
(Convention on International Trade in Endangered
Species of Wild Fauna and Flora :
CITES) ได้รับทราบ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย
ทั้งยังเป็นการแสดงบทบาทที่แข็งขันของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 19 | การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 | พม. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐ
ประจำปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ และให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป
เร่งรัดดำเนินการจ้างงานคนพิการตามที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนภายในปี ๒๕๖๘
และรายงานผลการจ้างงานคนพิการประจำปีต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังและกระทรวงวัฒนธรรมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ดำเนินการสรรหาและเลือกสรรคนพิการ
เพื่อเป็นบัญชีร่วมสำหรับให้ส่วนราชการใช้บรรจุและแต่งตั้งคนพิการเข้ารับราชการ
โดยจัดทำบัญชีร่วมแยกตามประเภทความพิการ คุณวุฒิการศึกษา และความรู้ความสามารถ
ทักษะ และสมรรถนะที่เหมือนหรือใกล้เคียงกันให้ส่วนราชการสามารถดำเนินการคัดเลือกจากบัญชีร่วมดังกล่าวได้ตามความเหมาะสม กระทรวงพลังงาน เห็นควรให้มีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐเพื่อจ้างเหมาบริการคนพิการโดยเฉพาะ
เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถจ้างงานคนพิการได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ๓.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำข้อมูลการรายงานผลการจ้างงานคนพิการของหน่วยงานของรัฐ
รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องมาวิเคราะห์ถึงประเด็นปัญหา อุปสรรค และข้อจำกัดของการไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานคนพิการ
และเร่งกำหนดมาตรการหรือแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการจ้างงานคนพิการได้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป | |||||||||||||||||||||||||||||||||
| 20 | รัฐบาลสาธารณรัฐออสเตรียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทย (นางคาทารีนา วีเซอร์) | กต. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
| คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางคาทารีนา
วีเซอร์ (Mrs. Katharina Wieser) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายวิลเฮ็ล์ม มัคซีมีลีอาน ด็องโค (Mr.
Wilhelm Maximilian Donko) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 
 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
