ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 79 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1561 - 1580 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1561 | รายงานความพร้อมด้านการพัฒนาความรู้ ทักษะ และสมรรถนะแก่ข้าราชการในช่วงการปรับเปลี่ยนระบบราชการ | นร | 13/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ. โดยศูนย์พัฒนาและถ่ายโอนบุคลากรภาครัฐ รายงาน
ความพร้อมด้านการพัฒนาความรู้ ทักษะ และสมรรถนะแก่ข้าราชการในช่วงการปรับเปลี่ยนระบบราชการ ซึ่งวัตถุ ประสงค์ของการดำเนินการ เพื่อปรับเปลี่ยนความชำนาญ กระบวนทัศน์ของข้าราชการให้สอดคล้องกับการปฏิรูป ราชการ และให้ส่วนราชการดำเนินการส่งข้าราชการที่ประสงค์จะพัฒนาความรู้ ทักษะเพิ่มเติม ให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการต่อไป สำหรับการเตรียมความพร้อมรับการปฏิรูปดังกล่าว ศูนย์พัฒนาและถ่ายโอนบุคลากรภาครัฐ มี แนวทางดำเนินการ ดังนี้ (1) กลุ่มเป้าหมายของการพัฒนา แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ พัฒนาเพื่ออยู่รับ ราชการต่อไป พัฒนาเพื่อถ่ายโอนสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพัฒนาเพื่อออกนอกระบบราชการ หรือเป็น ผู้ประกอบการใหม่ (2) ประเภทการฝึกอบรมพัฒนา ประกอบด้วย 3 ด้านสำคัญได้แก่ ด้านการปรับกระบวนทัศน์ ทัศนคติ ค่านิยม ด้านเพิ่มทักษะ สมรรถนะในการทำงาน และด้านพัฒนาสู่การเป็นผู้ประกอบการ และ (3) แนว นโยบายและแนวทางการฝึกอบรมและพัฒนา ซึ่งศูนย์พัฒนาและถ่ายโอนบุคลากรภาครัฐจะประสานงานกับส่วน ราชการและสถาบันการศึกษา รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชนให้มีการฝึกอบรมและพัฒนา และจะดำเนินการเองใน บางส่วน เช่น ด้านการพัฒนาสู่การเป็นผู้ประกอบการหรืออาชีพอิสระ เพื่อประกอบธุรกิจเองหรือปฏิบัติงานใน ภาคเอกชน เป็นต้น ทั้งนี้ ในการดำเนินการ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือนจะเป็นแม่ข่ายในการพัฒนาในส่วน ของการจัดฝึกอบรมข้าราชการทั้งในส่วนกลางและการอบรมทางไกลในภูมิภาคทั่วประเทศ รวมถึงการเรียนรู้ทาง อิเล็กทรอนิกส์ (E-Learning) และประสานงานกับส่วนราชการเครือข่ายฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาข้าราชการ พลเรือน ซึ่งมีมหาวิทยาลัยของรัฐและสถาบันราชภัฏที่สามารถดำเนินการฝึกอบรมได้ทั้งในส่วนกลางและในส่วน ภูมิภาค |
||||||||||||||||||||||||||||||
1562 | กระทู้ถามที่ 903 ร. เรื่อง โครงการก่อสร้างฝายน้ำล้นคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) และขุดลอกห้วยลำพังชู | สผ | 13/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถาม ที่ 903 ร. เรื่อง
โครงการก่อสร้างฝายน้ำล้นคอนกรีตเสริมเหล็ก (คสล.) และขุดลอกห้วยลำพังชู ของนายสุรศักดิ์ นาคดี สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมชลประทานได้พิจารณาโครงการก่อสร้างฝายน้ำล้นในท้องที่ตำบลบ้าน ยาง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเฉพาะหมู่ที่ 6 8 9 10 และ 15 ที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องน้ำ อุปโภค-บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตรกรรม แล้ว มีความเหมาะสมสามารถดำเนินการก่อสร้างฝายน้ำล้นได้ โดยโครงการจะตั้งอยู่บริเวณบ้านแคน ตำบลบ้านแคน อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งจะดำเนินการสำรวจ ออกแบบและจัดทำแผนงาน และงบประมาณก่อสร้างตามความเหมาะสมต่อไป สำหรับโครงการขุดลอกหนอง น้ำและคลองธรรมชาติ ได้โอนภารกิจไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
1563 | กระทู้ถามที่ 978 ร. เรื่อง โครงการขุดลอกคลองเฉงอะ | สผ | 13/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 978 ร. เรื่อง
โครงการขุดลอกคลองเฉงอะ ของนายโกเมศ ขวัญเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรม ชลประทาน ได้ถ่ายโอนภารกิจ โครงการขุดลอกหนองน้ำและคลองธรรมชาติ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้ว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบประมาณรายจ่ายของกรมชลประทานจึงไม่มีโครงการขุดลอกคลองเฉงอะ หมู่ที่ 4 ตะเคียนทอง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดังนั้น การขอรับการสนับสนุนโครงการขุด ลอกคลองดังกล่าว สามารถประสานขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ที่ ตั้งโครงการได้โดยตรง |
||||||||||||||||||||||||||||||
1564 | การปรับโครงสร้างแผนงานของสำนักนายกรัฐมนตรี | นร | 13/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการ
กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 เนื่องจากขณะนี้การจัดทำงบประมาณ ฯ พ.ศ. 2547 ใกล้เสร็จสิ้นแล้ว จึงจำเป็นต้องตั้ง งบประมาณสำหรับแผนงานส่งเสริมและพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 30,000 ล้านบาท ไว้ที่กระทรวงมหาดไทย ตามที่สำนักงบ ประมาณได้ดำเนินการไว้แล้วแต่ขอให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เป็นผู้พิจารณาทางด้านนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการกระจายอำนาจ ฯ เช่น การปรับปรุงสัด ส่วนภาษีอากร รายได้ระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกัน เอง เป็นต้น สำหรับในปีต่อ ๆ ไป กกถ. จะรับไปพิจารณาวางระบบเพื่อกำหนดหน้าที่ระหว่าง กกถ. และกระทรวง มหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ให้ชัดเจน เพื่อให้มีการตั้งงบประมาณที่สอดคล้องกับภาระหน้าที่ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
1565 | การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 13/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ครั้งที่ 3/2546 วันที่ 9 พฤษภาคม 2546 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ มีมติ ดังนี้ (1) เห็นชอบหลักเกณฑ์การ จัดสรรภาษีอากรและค่าธรรมเนียมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (2) เห็นชอบกรอบวงเงินจัดสรรเงินอุดหนุน ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 79,138 ล้านบาท โดยปรับลดวงเงินอุดหนุนเฉพาะกิจที่จัดสรรสำหรับ โครงการตามยุทธศาสตร์และนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จำนวน 3,000 ล้านบาท ไปเพิ่มเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อลดช่องว่างทางการคลัง ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การจัดสรรเงินอุดหนุน ฯ ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปหรือ เป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจต่างก็มีข้อดีข้อเสีย เนื่องจากการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจอาจมีการกระจุกตัว ขณะที่ การจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปเป็นการลดช่องว่างทางการคลังของท้องถิ่นได้ ท้องถิ่นสามารถใช้ดุลยพินิจในการ นำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปดำเนินการตามความต้องการของท้องถิ่น แต่อาจไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และ นโยบายในภาพรวม รวมทั้งอาจไม่เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเต็มที่เพราะยังขาดการติดตามและประเมินผล ที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริม การปกครองส่วนท้องถิ่น) และสำนักงบประมาณ รับข้อเสนอของคณะกรรมการ ฯ ที่จะปรับลดวงเงินอุดหนุน เฉพาะกิจไปเพิ่มเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปดังกล่าวไปพิจารณา แล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และให้ ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1566 | กระทู้ถามที่ 945 ร. เรื่อง การบูรณะซ่อมแซมถนนสายพนา - สว่างใต้ อำเภอพนา และอำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ กระทู้ถามที่ 947 ร. การก่อสร้างถนนลาดยางสายสามแยกชมภู อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ และกระทู้ถามที่ 955 ร. การก่อสร้างถนนลาดยางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน | สผ | 06/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 945 ร. เรื่อง การบูรณะซ่อม
แซมถนนสายพนา-สว่างใต้ อำเภอพนา และอำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ กระทู้ถามที่ 947 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนลาดยางสายสามแยกชมภู อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ ของนายไพศาล จันทวารา สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอำนาจเจริญ และกระทู้ถามที่ 955 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนลาดยางเพื่อบรรเทาความ เดือดร้อนให้กับประชาชน ของนายกริช กงเพชร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม และให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาต่อไป รวม 3 เรื่อง โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ดังนี้ (1) คำตอบกระทู้ถามที่ 945 ร. สรุป ได้ว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบโอนถนนสายพนา-สว่างใต้ อำเภอพนา และอำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจ เจริญ ให้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดอำนาจเจริญ ถนนสายนี้จึงไม่ได้อยู่ในภารกิจของกรม ทางหลวงชนบท และไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2546 เพื่อดำเนินการบำรุงรักษา จึงไม่สามารถคาด การณ์ได้ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะดำเนินการได้เมื่อใด (2) กระทู้ถามที่ 947 ร. สรุปได้ว่า ถนนงานสายสาม แยกชมภู อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท ซึ่งเป็น ถนนประเภทโครงข่ายสายรอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณลาดยางแล้ว 31.699 กิโลเมตร คงเหลือเป็นถนน ลูกรังอีก 12.544 กิโลเมตร ในงบประมาณปี พ.ศ. 2546 ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างถนนลาดยาง เพิ่มเติม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อบรรจุถนนสายทางต่าง ๆ ที่เป็นภารกิจด้านการก่อสร้างถนนโครง ข่ายสายรองเข้าไว้ในแผนเพื่อรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป และ (3) กระทู้ถามที่ 955 ร. สรุปได้ว่า ถนนสาย ทางโคกสูง-ขามเปี้ย อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ได้รับงบประมาณก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้วทั้งสิ้น 14.283 กิโลเมตร เหลือระยะทางที่เป็นถนนลูกรังอีก 7.975 กิโลเมตร เป็นถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรม ทางหลวงชนบท ซึ่งจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและจัดเข้าแผนในการของบประมาณเพื่อสนับสนุนต่อไป หาก ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการใช้เส้นทางดังกล่าว ก็สามารถประสานไปยังสำนักงานต่าง ๆ ของกระทรวง คมนาคมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นได้ โดยสำนักงาน ฯ จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ตามกำลังงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร |
||||||||||||||||||||||||||||||
1567 | แผนการแก้ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งอย่างถาวร | ทส | 06/05/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแผนการแก้ไขปัญหา
หมู่บ้านภัยแล้งอย่างถาวร และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ เสนอเพิ่มเติมข้อความในเอก สารกรอบแผนการแก้ไขปัญหา ฯ ซึ่งเป็นเอกสารประกอบหนังสือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ด่วนที่สุดที่ ทส 0701/940 ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2546 หน้า 4 ข้อ 4.2 ปัญหาการถ่ายโอน โดยให้เพิ่มคำว่า "และกรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น" ต่อจากข้อความว่า "จำเป็นต้องขอทำความตกลงกับคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น" ทั้งนี้ สาระสำคัญของแผนการแก้ไขปัญหา ฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ได้ตั้งเป้าหมาย ตามแผนการแก้ไข ดังนี้ (1) ประชาชนในหมู่บ้านชนบททุกหมู่บ้าน จะมีระบบประปาชนบท จ่ายน้ำสำหรับการ อุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอทุกฤดูกาล โดยประชาชนสามารถเปิดก๊อกน้ำภายในบ้านและจะต้องจ่ายค่าใช้น้ำตาม ปริมาณการใช้น้ำ ในราคาที่ถูกกว่าน้ำประปาของการประปาส่วนภูมิภาค โดยระบบประปาดังกล่าวบริหารงานโดย กรรมการหมู่บ้าน หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และ (2) ประชาชนที่อาศัยในเขตพื้นที่ อบต. หรือหมู่บ้าน ขนาดใหญ่ จะสามารถซื้อน้ำดื่มจากตู้บริการน้ำดื่ม ที่ผ่านการกรองน้ำระบบ reverse osmosis (R.O.) ซึ่งถือได้ว่าเป็น น้ำดื่มที่มีคุณภาพสูงกว่าน้ำดื่มบรรจุขวดหลายยี่ห้อที่วางจำหน่ายในท้องตลาด โดยราคาน้ำดื่มจากตู้บริการน้ำดื่ม จำหน่ายในราคาลิตรละไม่เกิน 1 บาท โดยตู้บริการน้ำดื่มดังกล่าว บริหารงานโดยกรรมการหมู่บ้าน หรือ อบต.
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1568 | การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 28/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการถ่ายโอนบุคลากรให้แก่องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น ของกระทรวงมหาดไทย สรุปได้ดังนี้ (1) จำนวนบุคลากรที่ต้องถ่ายโอนรวมทั้งสิ้น 4,111 คน มีข้าราชการขอโอนไปสังกัดกรุงเทพมหานคร 9 คน คงเหลือ 4,102 คน แยกเป็นข้าราชการ 1,301 คน ลูก จ้างประจำ 2,801 คน ศูนย์ปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรจังหวัด 75 จังหวัด ได้ดำเนินการถ่ายโอนบุคลากรรวม 2 ครั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้แต่งตั้งรับโอนบุคลากรแล้ว รวม 3,807 คน แยกเป็นข้าราชการ 1,210 คน ลูกจ้างประจำ 2,597 คน คงเหลือบุคลากรที่ยังถ่ายโอนไม่ได้รวม 295 คน แยกเป็นข้าราชการ 91 คน ลูกจ้าง ประจำ 204 คน (2) คณะอนุกรรมการด้านการถ่ายโอนบุคลากรและอำนาจหน้าที่ในการประชุมครั้งที่ 2/2546 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2546 ได้มีมติให้กำหนดมาตรการเร่งด่วนสำหรับบุคลากรที่ยังไม่อาจจัดสรรไปองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมอบให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าว (3) คณะกรรม การการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการประชุมครั้งที่ 1/2546 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 มีมติเห็นชอบให้รวมคณะกรรมการกำกับศูนย์ปฏิบัติการถ่ายโอนบุคลากรจังหวัดและศูนย์ปฏิบัติการถ่าย โอนบุคลากรจังหวัด รวมเป็นชุดเดียวกัน เรียกว่า คณะกรรมการบริหารการถ่ายโอนภารกิจ บุคลากร และงบ ประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัดใน 75 จังหวัด ส่วนกรุงเทพมหานคร ให้ตั้งคณะกรรมการ ในลักษณะทำนองเดียวกันกับคณะกรรมการดังกล่าว (4) คณะกรรมการการกระจายอำนาจ ฯ ในการประชุมครั้ง ที่ 2/2546 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2546 มีมติเห็นชอบการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการถ่ายโอนบุคลากร โดยให้ ขยายระยะเวลาการสนับสนุนงบประมาณด้านบุคลากรแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี แรก ไปจนกว่าผู้นั้นจะพ้นจากราชการ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการ กระจายอำนาจ ฯ ได้มอบนโยบายให้คณะอนุกรรมการด้านการถ่ายโอน ฯ พิจารณาในภาพรวมเกี่ยวกับเรื่องการ ถ่ายโอนเพื่อทำให้เกิดแรงจูงใจที่ข้าราชการจะไปอยู่ได้ หรือผู้ที่ทำงานให้ท้องถิ่นสามารถมีความเจริญก้าวหน้าได้ และ (5) สำนักงาน ก.พ. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจ ฯ และสำนักงานปลัดสำนักนายก รัฐมนตรี จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 57 กรม เพื่อเตรียมความพร้อมร่วมกันสำหรับการถ่ายโอนภารกิจและบุคลากร ภายใต้กรอบของแผนปฏิบัติการที่ได้ปรับ ปรุงให้สอดคล้องกับโครงสร้าง กระทรวง ทบวง กรม ซึ่งปรับปรุงใหม่ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ในวันที่ 25 เมษายน 2546 |
||||||||||||||||||||||||||||||
1569 | การดำเนินงานตามวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์เร่งด่วนเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย | มท | 28/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ผู้อำนวยการศูนย์ความ ปลอดภัยทางถนนเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย และที่เสนอเพิ่มเติม และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ (1) ยุทธศาสตร์การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและต่อ เนื่อง ให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2546 เป็นต้นไป ประกอบด้วย มาตรการการปฏิบัติตามกฎ หมาย/นโยบายความปลอดภัยทางถนนของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มาตรการจับปรับผู้กระทำผิดกฎ หมายจราจร " 3 ม.1 ข." และมาตรการความปลอดภัยด้านใบอนุญาตขับรถ (2) ยุทธศาสตร์การแพทย์ฉุกเฉิน (EMS) ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการในทุกจังหวัดในระบบการรักษา 30 บาท โดยในเบื้องต้นให้ดำเนิน การในจังหวัดนำร่อง 7 จังหวัด (จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา ลำปาง นครสวรรค์ เพชรบุรี สงขลา และกรุง เทพมหานคร) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2546 เป็นต้นไป (3) ยุทธศาสตร์/มาตรการแต่ละด้านที่จะดำเนินการ ระยะต่อไป ให้กำหนดการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work Shop) โดยเชิญคณะกรรมการ ส่วนราชการ นักวิชา การ ผู้เชี่ยวชาญ มูลนิธิ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อทำการศึกษา วิเคราะห์ในภาพรวมทั้งระบบ กำหนดเป้าหมายและมาตรการเฉพาะที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นขั้นตอน กับให้คณะทำงานแต่ละ ยุทธศาสตร์ไปดำเนินการกำหนดมาตรการ แนวทางดำเนินการ แผนงาน/โครงการ กรอบวงเงินงบประมาณ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป และ (4) ยุทธศาสตร์ด้านวิศวกรรมการจราจร ให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ดำเนินการตามมาตรการจุด เสี่ยงภัยและวิธีการแก้ปัญหาอย่างถาวรในถนนสายหลักและถนนสายรอง เพื่อลดอุบัติเหตุจากการเดินทางของ ประชาชน รวมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการตามมาตรการในเขตพื้นที่รับผิด ชอบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1570 | การพัฒนาลุ่มน้ำมูล | นร | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่
42/2546 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2546 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการปฏิบัติราชการในส่วน ภูมิภาค ให้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาลุ่มน้ำมูล โดยมี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน กรรมการ นายกร ทัพพะรังสี รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก 30 คน มี อำนาจหน้าที่ ดังนี้ (1) รวบรวม และวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาลุ่มน้ำมูล ศึกษาวิจัยเพื่อจัดทำแผน แม่บทและฐานข้อมูลในการตัดสินใจกำหนดแนวทางการพัฒนาและการบริหาร จัดการลุ่มน้ำเชิงบูรณาการ (2) เสนอแนวนโยบายและทิศทางการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (3) กำหนดกรอบและอนุมัติ แผนงาน โครงการพัฒนาลุ่มน้ำมูล และโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของหน่วยงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชนและภาคีชุมชน และ (4) กำกับ ตรวจสอบและติดตามประเมินผลการ ปฏิบัติงาน สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น |
||||||||||||||||||||||||||||||
1571 | การจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ 2546 | มท | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผล
การดำเนินการจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 โดยกำหนดแนวทาง ขั้นตอนการจัดซื้อ และกำหนดคุณลักษณะของอุปกรณ์กีฬา โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์เดิมที่กรมพลศึกษาได้เคย กำหนดไว้ ได้แก่ การกำหนดประเภท และวิธีการเลือกอุปกรณ์กีฬา กำหนดคุณลักษณะและมาตรฐานของอุปกรณ์ กีฬา และการกำหนดวิธีการจัดซื้อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และป้องกันอุปกรณ์กีฬาปลอมหรือไม่ได้ มาตรฐาน รวมทั้งการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่มีการเสนอข่าวตรวจพบอุปกรณ์กีฬาปลอม และการดำเนินการ จัดซื้ออุปกรณ์กีฬาให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ทั้งนี้ ในงบประมาณปี พ.ศ. 2546 รายการจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นงบประมาณที่ตั้งไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งได้จัดสรรและโอนงบประมาณนี้ ไปตั้งจ่ายให้จังหวัดต่าง ๆ เพื่อแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการจัดซื้อ ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2546 และในการจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องเป็นหน่วยดำเนินการ มิได้ดำเนิน การจัดซื้อโดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด เนื่องจากมีการถ่ายโอนภารกิจการจัดซื้อ ดังกล่าวจากกรมพลศึกษามาให้องค์กรปกครองส่วนท่องถิ่น และขณะนี้การดำเนินงานอยู่ในระหว่างขั้นตอนให้หมู่ บ้าน/ชุมชน เสนอความต้องการคัดเลือกชนิดและประเภทอุปกรณ์กีฬา เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อ ตามระเบียบ |
||||||||||||||||||||||||||||||
1572 | ส่งสำเนาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ | ศร | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 1/2546
ลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2546 เรื่อง ศาลปกครองส่งคำโต้แย้งของผู้ฟ้องคดี เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจ ฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ว่า พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 8 วรรคสอง มาตรา 64 และมาตรา 65 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชี้ขาดว่า พระราช บัญญัติ ฯ มาตรา 8 วรรคสอง ที่บัญญัติเกี่ยวกับขอบเขตพื้นที่การใช้อำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วน จังหวัด มาตรา 64 และมาตรา 65 บัญญัติให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอำนาจออกข้อบัญญัติเก็บภาษีและค่า ธรรมเนียม ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 282 ซึ่งบัญญัติว่า "ภายใต้บังคับมาตรา 1 รัฐจะต้องให้ความเป็น อิสระแก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น" มาตรา 283 บัญญัติ ว่า "ท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ย่อมมีสิทธิได้รับจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" และมาตรา 284 บัญญัติว่า "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลายย่อมมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายการปกครอง การบริหาร การบริหารงานบุคคล การเงินและการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ" |
||||||||||||||||||||||||||||||
1573 | กระทู้ถามที่ 203 เรื่อง การป้องกันการทุจริตในองค์การบริหารส่วนตำบล | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 203 เรื่อง การป้องกัน
การทุจริตในองค์การบริหารส่วนตำบล ของนายสุรชัย เบ้าจรรยา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) และมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยสาระสำคัญของ คำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงมหาดไทยมีมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการร้องเรียนและการ ทุจริตขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ได้แก่ บทบาทของกระทรวงมหาดไทยในการกำกับดูแลโดยการ สั่งการให้จังหวัดและอำเภอทำการตรวจสอบด้านการเงิน การคลัง และบัญชีของ อบต. รวมทั้งการให้ความ ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การควบคุมภายในของ อบต. และการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของ อบต. เพื่อป้องกันและลดปัญหาการทุจริต (2) มาตรการในการตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลที่จ่ายให้ แก่ อบต. ได้แก่ อบต. ต้องนำเงินอุดหนุนทั่วไปไปดำเนินการจัดทำข้อบังคับงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม อบต. ที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ต้องดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติการ แผนการใช้จ่ายเงินและแผนความต้องการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง และนำเงินอุดหนุนทั่วไปไปตั้งจ่ายในลักษณะ งบลงทุนในหมวดค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ทั้งนี้ต้องระบุรายละเอียดในคำชี้แจงประกอบงบประมาณราย จ่ายในข้อบังคับงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ตั้งจ่ายจากเงินอุดหนุนทั่วไป และ (3) มาตรการเพื่อตรวจสอบ การดำเนินการก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน ได้แก่ แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลาง แต่งตั้งผู้แทนชุมชนหรือ ประชาคมที่มีความรู้หรือประสบการณ์เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดซื้อจัดจ้าง และแต่งตั้งผู้ควบคุมงานก่อสร้างที่มี ความรู้ความชำนาญทางด้านช่างตามลักษณะของงานก่อสร้างจากพนักงานส่วนตำบล ข้าราชการหรือข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น |
||||||||||||||||||||||||||||||
1574 | กระทู้ถามที่ 358 เรื่อง โครงการก่อสร้างถนนลาดยางในเขตอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 358 เรื่อง โครงการก่อสร้าง
ถนนลาดยางในเขตอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ของนายสุรศักดิ์ นาคดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ และ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบท ได้ดำเนินการตรวจสอบสายทางบ้านสวายตางวน - บ้านกระทุ่ม ตำบลหนองใหญ่ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 6.000 กิโลเมตร ผิวจราจรกว้าง 6 เมตร สภาพ เป็นถนนลูกรังและเป็นถนนในท้องถิ่นที่รองรับเข้าสู่หมู่บ้านระหว่าง 2 หมู่บ้านเท่านั้น จึงเป็นภารกิจที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการก่อสร้าง โดยจะใช้งบประมาณ 18 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะท้องถิ่นที่ขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรสามารถ ร้องขอให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาบรรจุโครงการถนนที่ได้จัดลำดับความสำคัญแล้วในท้องถิ่นของตนเอง เพื่อ สนับสนุนในด้านต่าง ๆ ได้ (2) ถนนสายบ้านห้วยลึก - บ้านหนองแวง ตำบลดอนมนต์ อำเภอสตึก จังหวัด บุรีรัมย์ มีระยะทาง 3.000 กิโลเมตร ปัจจุบันมีสภาพเป็นถนนลูกรัง ผิวจราจรกว้าง 8 เมตร อยู่ในความรับผิดชอบ ของกรมทางหลวงชนบท แต่เนื่องจากถนนสายนี้เป็นส่วนหนึ่งของถนนโครงข่ายสายรอง สายบ้านคูเมือง - บ้าน หนองกระทุ่ม ซึ่งมีระยะทางทั้งสิ้น 33.000 กิโลเมตร ได้รับงบประมาณก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแล้ว 5.836 กิโล เมตร ยังคงเหลือเป็นถนนลูกรังอีก 27.144 กิโลเมตร กรมทางหลวงชนบทจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญเพื่อ จัดเข้าแผนงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ตามขีดความสามารถของงบประมาณในแต่ละปีของประเทศต่อไป และ (3) กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการก่อสร้างถนนลาดยางทั้ง 2 สายดังกล่าว ตาม ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||
1575 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 744 ร. เรื่อง การกำจัดขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง) | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 744 ร.
เรื่อง การกำจัดขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่จังหวัดตรัง ของนายสุวรรณ กู้สุจริต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ตรัง และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดยกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายให้จังหวัดตรังดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอยโดยจัดตั้งศูนย์จัดการ ขยะมูลฝอยเป็น 2 ศูนย์ โดยมีเทศบาลนครตรังและเทศบาลเมืองกันตังเป็นหน่วยงานหลัก รวมทั้งรัฐบาลได้ สนับสนุนงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 - 2545 เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการขยะมูลฝอย โดยงบประมาณที่ได้รับแบ่งเป็นการศึกษาและออกแบบราย ละเอียดการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอย จัดซื้อเครื่องจักรกลและรถบรรทุกขยะมูลฝอย ก่อสร้างถังหมัก สิ่งปฏิกูล และก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอย นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้สนับสนุนด้านการจัดการ ให้แก่ท้องถิ่นเพื่อส่งเสริม และเพิ่มประสิทธิภาพแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการกำจัดขยะมูลฝอย เช่น การสนับสนุนทางด้านวิชาการในรูปของโครงการนำร่อง การฝึกอบรมการเผยแพร่เอกสารทางวิชาการเกี่ยว กับการจัดการ และการวางแผนสิ่งแวดล้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นการ ดำเนินการตามปกติในภูมิภาคและท้องถิ่นทั่วประเทศ |
||||||||||||||||||||||||||||||
1576 | แนวทางการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก | นร | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการศึกษาของโครงการศึกษา รูปแบบการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการบริหารจัด การการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก โดยให้กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รับไปดำเนินการในการแก้ไขปัญหาตามแนวทางดังกล่าว โดย พิจารณาภาพรวมทั้งระบบ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบ ประมาณ และข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย โดยข้อสังเกตของ คกก.3 มีดังนี้ (1) การออก แบบโครงสร้างของบ่อน้ำ ควรกำหนดโครงสร้างบ่อน้ำให้มีมาตรฐานเดียวกันและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า (2) ควรมีข้อมูลด้านขนาดของพื้นที่ต่อจำนวนของแหล่งน้ำหรือขนาดของแหล่งน้ำเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการขาด แคลนแหล่งน้ำในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน (3) การศึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ ควรแบ่งแยกการบริหาร จัดการระหว่างแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคหรือบริโภคกับแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งมีการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน (4) มีการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายและการปฏิบัติทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค และ (5) การถ่ายโอนภารกิจไปสู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรคำนึงถึงภารกิจความจำเป็น หรือความพร้อมของท้องถิ่นในการดำเนินโครงการ ฯ เป็นหลัก นอกจากนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการประมวลตัวเลข ค่าใช้จ่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และระบุถึงการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำของแต่ละหน่วยงานว่าได้ใช้ไป เพื่อการใดบ้าง ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า อำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสงวน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ซึ่งควรจะได้ มีการทำงานตามภารกิจหน้าที่ในเชิงรุกให้มากขึ้น และหากมีความจำเป็นก็อาจมีการว่าจ้างที่ปรึกษามาช่วยเหลือใน การดำเนินการด้วยก็ได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
1577 | ยืนยันการขออนุมัติขยายหน่วยงานรับจัดทำหรือรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้เป็นกรณีพิเศษ | ศธ | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงาน และรัฐวิสาหกิจ เกี่ยว
กับการขยายหน่วยงานรับจัดทำหรือรับจ้างผลิตตามคำสั่งซื้อจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้เป็นกรณีพิเศษ โดย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานของรัฐผู้จัดซื้อนมในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ที่มีความ ประสงค์จะจัดซื้อนมพร้อมดื่มจากกรมอาชีวศึกษา ให้จัดซื้อได้โดยวิธีกรณีพิเศษ โดยให้รับความเห็นเพิ่มเติมของ กระทรวงมหาดไทย และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย โดยในส่วนของ กระทรวงมหาดไทยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า หน่วยงานที่จะรับจัดทำหรือรับจ้างผลิตของกระทรวงศึกษาธิการจะต้อง ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้การผลิตมีมาตรฐานและมีคุณ ภาพ ส่วนสำนักงบประมาณมีข้อสังเกตเกี่ยวกับรายได้อันเนื่องมาจากการจำหน่ายนมว่า ควรนำมาใช้เพื่อพัฒนา และปรับปรุง รวมทั้งจัดหาครุภัณฑ์ทดแทนของโรงงานแปรรูปน้ำนมที่เสื่อมสภาพและหมดอายุการใช้งาน เพื่อไม่ ให้เป็นภาระแก่งบประมาณแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า การจัดซื้อนมตามโครงการ ฯ มีปัญหา เกี่ยวกับการทุจริตและปัญหาอื่น ๆ อีกมาก หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อาจทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้ดื่มนมที่มี คุณภาพ และโดยที่เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย จึงมอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปหารือกับกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ เพื่อศึกษาปัญหาทั้งระบบ และหาแนวทางใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหา เช่น การแจกคูปองให้แก่เด็ก นักเรียน เพื่อนำไปซื้อนมจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายได้อย่างเสรี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1578 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 662 ร. เรื่อง การเตรียมความพร้อมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อบริหารงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | สผ | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 662 ร. เรื่อง
การเตรียมความพร้อมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเพื่อบริหารงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม ของนายนพดล อินนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการเพื่อรองรับนโยบายกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางไปยังส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีอำนาจหน้า ที่บริหารตนเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ของตนเองนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา และในปี พ.ศ. 2546 ศูนย์วิจัย ฯ ได้รับงบประมาณในการจัดทำโครง การว่าจ้างหาความต้องการในการฝึกอบรมและดำเนินการจัดอบรมให้กับบุคลากรระดับท้องถิ่น จัดฝึกอบรมหลัก สูตรองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นกับการใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อม และหลักสูตรการจัดการมูลฝอย และ (2) จาก สภาพปัญหาการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะการกำจัดขยะ มูลฝอยและการบำบัดน้ำเสีย แต่เนื่องจากความไม่พร้อมและการขาดการอบรมผู้บริหารระดับท้องถิ่นให้มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการโครงการนั้น โดยแท้จริงแล้วมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการขอจัดสรรงบ ประมาณมาให้อย่างต่อเนื่อง สำหรับหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ กรมการปก ครอง กระทรวงมหาดไทย ได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อนำไปอบรมผู้บริหารและพนักงานองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ตลอดจนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ให้มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการและมีความ เข้าใจในกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง |
||||||||||||||||||||||||||||||
1579 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 716 ร. เรื่อง การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่) | สผ | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 716 ร. เรื่อง
การจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ ของนายนคร มาฉิม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก และให้ประกาศในราช กิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงมหาดไทยมีมาตรการในการจัดเก็บภาษี บำรุงท้องที่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ หรือที่สาธารณประโยชน์ ดังนี้ (1.1) ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ ดินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์เจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ ตาม มาตรา 8 (2) แห่งพระราชบัญญัติภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 (1.2) การผ่อนผันให้ราษฎรที่บุกรุกทำกินอยู่ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติได้อยู่อาศัยทำกินต่อไปเป็นการชั่วคราวถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินอยู่อาศัยทำกินในฐานะ ผู้รับอนุญาต มิใช่ครอบครองในฐานะเจ้าของที่ดินจึงไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องเสียภาษี ฯ และ (1.3) กรณีราษฎรเข้า ทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งหมดสภาพป่า แต่ยังมิได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงแนวเขตหรือถอนสภาพตามขั้น ตอนของกฎหมาย ยังคงถือว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นป่าสงวนแห่งชาติอยู่ จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี ฯ และ (2) กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายและมาตรการในการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ ดังนี้ (2.1) การจัดเก็บภาษี ฯ ใน ทุกพื้นที่ต้องเป็นไปด้วยความเหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้เสีย ภาษี และก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บอย่างแท้จริง (2.2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถบริหาร การจัดเก็บภาษี ฯ และนำรายได้จากการจัดเก็บมาบริหารการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ (3) แนวทางการจัดเก็บภาษี ฯ ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจะเป็นไปโดยชัดเจน และในรูปแบบเดียวกัน สำหรับการ แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการจัดเก็บภาษี ฯ ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้ในการ ประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ การจัดเก็บภาษี ฯ ปี พ.ศ. 2545 มีลักษณะ ใกล้เคียงกับปี พ.ศ. 2544 และทุกปีที่ผ่านมา กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัด พิษณุโลก ได้มีการแก้ไขและลดอัตราการจัดเก็บภาษี ฯ ลงเหลือไร่ละ 5 บาท โดยองค์การบริหารส่วนตำบลบ้าน กลางได้แจ้งให้ราษฎรผู้เสียภาษี ฯ มาขอรับเงินภาษีที่จ่ายเกินคืนแล้ว และกรณีที่องค์การบริหารส่วนตำบลบ้าน แยง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จึงไม่ต้องเสียภาษี บำรุงท้องที่ |
||||||||||||||||||||||||||||||
1580 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | นร | 25/03/2546 | |||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานสรุปผลการดำเนินงานของส่วนราชการและ
รัฐวิสาหกิจตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2545 ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยในส่วนของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้ แทนราษฎร มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี การบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี การติดตามประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณ และการพัฒนาปรับ ปรุงระบบและกระบวนการงบประมาณ สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภา มีข้อสังเกตเกี่ยวกับนโยบาย งบประมาณและโครงสร้างงบประมาณ ประมาณการรายได้ของภาครัฐ งบประมาณค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจ การควบคุมการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การจัดสรรงบ ประมาณให้แก่หน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ การจัดสรรงบประมาณ การกำกับดูแล และการตรวจสอบการ ใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการรักษา พยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ นโยบายในด้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปฏิรูปการศึกษา ตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ การปรับอัตราเงินเดือนหรือ เงินค่าตอบแทนที่เรียกเป็นอย่างอื่น และการส่งเสริมให้เพิ่มมูลค่าทางด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และ พาณิชยกรรม แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป |