ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 918 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 18341 - 18360 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
18341 | การศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ | นร11 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เขตพิเศษฯ คันไซ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๑๒ แห่ง ในจังหวัดโดยรอบ พัฒนาเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางการแพทย์และพลังงาน และใช้เป็นเขตสำหรับทดลองการปฏิรูปกฎหมาย/ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ ตลอดจนการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจและใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้สะดวก โดยมีกลไกการบริหารจัดการ ๒ ระดับ ได้แก่ (๑) กลไกระดับชาติ ประกอบด้วย สภาเขตพิเศษยุทธศาสตร์แห่งชาติ (The Council on National Strategic Special Zones) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และคณะทำงานเขตพิเศษยุทธศาสตร์ (Strategic Special Zones Working Group) ประกอบด้วยนักธุรกิจและนักวิชาการซึ่งเป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่เจรจากับหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขกฎหมาย และ (๒) กลไกระดับพื้นที่ มีสภาเขตพิเศษ (Zone Council) ประกอบด้วย ผู้แทนจากรัฐบาลกลาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ทำงานร่วมกันเพื่อจัดเตรียมแผนพัฒนา แผนงาน/โครงการ และขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมาย ๑.๒ การพัฒนาเขตพิเศษฯ คันไซ มีความใกล้เคียงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มากกว่าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน โดยมีความคล้ายคลึงกันในด้านการออกกฎหมายใหม่เพื่อรองรับเขตพิเศษ กำหนดกิจการเป้าหมายที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา และการมีกลไกการบริหารจัดการระดับชาติและในระดับท้องถิ่น ๑.๓ การประยุกต์ใช้ (๑) ควรมีกลไกระดับนโยบายที่มีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดด้านกฎหมาย ระเบียบ วิธีและขั้นตอนปฏิบัติของหน่วยงาน (๒) ควรมีกลไกการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ (๓) ควรสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาในส่วนของภาคเอกชนและสถาบันการศึกษามากขึ้น และ (๔) ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและ EEC ๒. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซมาปรับใช้กับ EEC และประยุกต์ใช้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18342 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2559 | ทส | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่มีมติเห็นชอบ จำนวน ๓ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. โครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ โครงการทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ระยะที่ ๑ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตำบลบางโปรง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ๓. โครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดสระแก้ว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18343 | ผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙-๔ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์การเดินทางและการให้บริการขนส่งสาธารณะตลอดระยะเวลา ๗ วัน มีประชาชนเดินทางโดยใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะรวมทั้งสิ้น ๑๕,๑๖๓,๘๒๐ คน ซึ่งกระทรวงคมนาคมสามารถให้บริการระบบขนส่งสาธารณะได้อย่างเพียงพอ ไม่มีผู้โดยสารตกค้าง พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะและรถโดยสารส่วนใหญ่อยู่ในสภาพพร้อมให้บริการ ๒. สรุปสถานการณ์อุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ กรมทางหลวงรายงานปริมาณการใช้รถบนถนนสายหลัก มีจำนวน ๑๑,๔๑๗,๕๘๑ คัน มีการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๙๑๙ ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปีใหม่ ๒๕๕๙ จำนวน ๕๔๐ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๑๕.๙๘ มีผู้เสียชีวิต ๔๗๘ คน เพิ่มขึ้นจากปีใหม่ ๒๕๕๙ จำนวน ๙๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๗๙ และมีผู้บาดเจ็บ ๔,๑๒๘ คน เพิ่มขึ้นจากปีใหม่ ๒๕๕๙ จำนวน ๖๒๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๗๗ สาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ การขับรถเร็วเกินกำหนด และคนหรือรถตัดหน้ากระชั้นชิด ประเภทยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ รถจักรยานยนต์ รถปิคอัพบรรทุก ๔ ล้อ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล/รถยนต์นั่งสาธารณะ ตามลำดับ โดยช่วงทางตรงเป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด และช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด คือ ช่วงเวลา ๑๖.๐๑-๒๐.๐๐ น. ๓. มาตรการป้องกันอุบัติเหตุเพิ่มเติม ได้แก่ การควบคุมความปลอดภัยในการขับขี่รถโดยสารสาธารณะ การควบคุมความปลอดภัยของสภาพโครงข่ายถนน และการควบคุมพฤติกรรมผู้ใช้รถใช้ถนน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18344 | ความคืบหน้าผลการดำเนินการบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ | พณ | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินการบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ การบริหารจัดการการนำเข้าวัตถุดิบทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ (๑) ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ข้าวสาลีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) ออกระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้นำข้าวสาลีเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๓) ออกคำสั่งกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบปริมาณการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ ๑.๒ การแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จังหวัดน่าน กระทรวงพาณิชย์ได้ประชุมหารือร่วมกับสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เพื่อแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จังหวัดน่าน รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามมาตรการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ซึ่งสมาคมฯ ได้ให้ความร่วมมือรับซื้อจากเกษตรกรที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ในราคาไม่ต่ำกว่า ๘ บาท (ณ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ณ ความชื้น ๑๔.๕% สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์จะรับซื้อในราคาที่ลดหลั่นตามชั้นคุณภาพและระยะทาง เพื่อใช้เฉพาะในโรงงานอาหารสัตว์ที่บริโภคภายในประเทศ ๑.๓ การแก้ไขปัญหาการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) อยู่ระหว่างยกร่างแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้อย่างยั่งยืนเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และกระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมในเรื่องพันธุ์เพาะปลูกพืชทดแทนเพื่อเป็นทางเลือกให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศตามแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ของ Agri Map มอบหมายเจ้าหน้าที่กำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบในพื้นที่ฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่ป่าสงวน ป้องกันมิให้มีการบุกรุกป่าไม้เพิ่มขึ้น และจัดหาเชื่อมโยงตลาดสินค้าเกษตร เร่งผลักดันในการนำนวัตกรรมที่หลากหลายเพื่อเพิ่มมูลค่าและช่องทางตลาดใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสำรวจและส่งเสริมด้านการตลาดให้กับพืชทางเลือกอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ควรประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการรักษาเสถียรภาพราคาและปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาพรวมของประเทศให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ ในกรณีที่มีการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบ เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบจำนวนพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เช่น จังหวัดน่าน จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น ให้ชัดเจน และกำหนดแนวทางและมาตรการในการปรับเปลี่ยนการประกอบอาชีพของกลุ่มเกษตรกรดังกล่าวให้เหมาะสมและมีความยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18345 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติกรณีคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ | กต | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๓๒๑ (ค.ศ. ๒๐๑๖) เกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ๑.๒ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติตามแนวทางจากผลการประชุมส่วนราชการเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามรายการล่าสุด พร้อมทั้งแจ้งการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ (United Nations : UN) ต่อไป และหากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติตามข้อมติฯ ดังกล่าวให้มีความชัดเจนและเป็นที่เข้าใจถูกต้องตรงกัน โดยให้คำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อจำกัด และข้อพึงระวังในการปฏิบัติให้มีความสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศ ท่าทีของประเทศในกลุ่มอาเซียน และพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างประเทศในภาพรวมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18346 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน การจ้างแรงงาน และ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | รง | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน การจ้างแรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดหลักการพื้นฐานและส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการเกี่ยวกับความร่วมมือด้านแรงงาน การจ้างแรงงาน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกัน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนการมีกระบวนการจัดส่งและรับคนงานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพระหว่างสองประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้ลงนามในเอกสารดังกล่าว ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดมาตรการตรวจสอบและควบคุมดูแลเพื่อป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และปัญหาด้านความมั่นคง รวมทั้งกำหนดกลไกและช่องทางการประสานความร่วมมือในการป้องกันและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18347 | การขอเช่าที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (บริเวณซอยสีคาม) | ศย | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมทำสัญญาเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (บริเวณซอยสีคาม) ตามโฉนดเลขที่ ๔๒๑๖ และ ๔๒๑๘ แปลงหมายเลข ๑ ตำบลริมแม่น้ำเจ้าพระยา สามเสน เนื้อที่ประมาณ ๒๐๙.๔๒ ตารางวา ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ระยะเวลา ๑๔ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๔ ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งยกเว้นการปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) โดยให้สำนักงานศาลยุติธรรมก่อหนี้ผูกพันงบประมาณล่วงหน้าเกินกว่า ๕ ปี ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว เห็นควรให้สำนักงานศาลยุติธรรมปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ พร้อมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามสัญญาในแต่ละปีงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18348 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร) | สผ | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีต่อไปได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนเมษายน ๒๕๖๐ รวม ๓ รายการ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ประกอบด้วย ๑.๑ งานออกแบบรายละเอียดการติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ วงเงินงบประมาณ ๕๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗) ๑.๒ โครงการปรับปรุงอาคารที่พักสวัสดิการเคหะสงเคราะห์สำหรับข้าราชการ วงเงินงบประมาณ ๑๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗) ๑.๓ จ้างที่ปรึกษาออกแบบและพัฒนาระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย วงเงินงบประมาณ ๑๐,๔๗๕,๐๐๐ บา (งบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18349 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี รวม 11 ช่วง (ช่วง กม. 0 + 400.000 - กม. 4 + 100.000 (ช่วง 2), ช่วง กม. 9 + 000.000 - กม. 13 + 000.000 (ช่วง 4), และช่วง กม. 24 + 875.000 - กม. 29 + 000.000 (ช่วง 8) | คค | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกรณีกรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป รายการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี รวม ๓ ช่วง ได้แก่ ช่วง กม. ๐+๔๐๐.๐๐๐-กม. ๔+๑๐๐.๐๐๐ (ช่วง ๒), ช่วง กม. ๙+๐๐๐.๐๐๐-กม. ๑๓+๐๐๐.๐๐๐ (ช่วง ๔), และช่วง กม. ๒๔+๘๗๕.๐๐๐-กม. ๒๙+๐๐๐.๐๐๐ (ช่วง ๘)] โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18350 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๓,๔๐๑ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๔๒๑ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๒,๙๙๐ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๐๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓,๔๓๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๙๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18351 | การขยายอายุความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาว่าด้วยสถานีวิทยุกระจายเสียง 1,000 กิโลวัตต์ ของสถานีวิทยุเสียงอเมริกา | กต | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการขยายอายุความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยสถานีวิทยุกระจายเสียง ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ ของสถานีวิทยุเสียงอเมริกา (Voice of America) ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ (โดยกระทำผ่านการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา) ๑.๒ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับและติดตามการดำเนินการกระจายเสียงของสถานีวิทยุเสียงอเมริกาอย่างระมัดระวัง โดยไม่ให้เกิดประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยให้รับความเห็นของสำนักข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า ไทยอาจใช้ความสัมพันธ์ที่ดีกับสถานีวิทยุเสียงอเมริกาเป็นช่องทางในการเสนอข้อเท็จจริงและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับไทยต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านคณะกรรมการบริหารกิจการแพร่เสียงและแพร่ภาพ (Broadcasting Board of Governors : BBG) ที่เป็นต้นสังกัดของสถานีวิทยุดังกล่าว รวมทั้งรัฐบาลควรตรวจสอบ คัดเลือก และคัดกรองข้อมูลที่ฝ่ายสหรัฐฯ ออกอากาศเกี่ยวกับไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย เพื่อป้องกันการนำเสนอข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง หรือทำให้ประเทศเพื่อนบ้านหวาดระแวงไทย โดยควรดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อมิให้กลายเป็นการจำกัดเสรีภาพในการรายงานข่าวสารของสื่อมวลชนหรือส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านการกระจายเสียงระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และประกาศที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18352 | รายงานผลการแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อน ไร้ที่พึ่ง พื้นที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อและสนามหลวง | พม | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการแก้ไขปัญหาคนเร่ร่อน ไร้ที่พึ่ง พื้นที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อและสนามหลวง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ มีการดำเนินการที่สำคัญ ดังนี้
๑. ได้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานในพื้นที่สาธารณะ กรุงเทพมหานคร และแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งในพื้นที่สนามหลวง โดยบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ภายใต้กระบวนการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานตามกฎหมาย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๒. จัดชุดปฏิบัติการลงพื้นที่สถานีรถไฟ ๒๐ สถานี ในกรุงเทพมหานครเพื่อสำรวจข้อเท็จจริงและสภาพปัญหาคนไร้ที่พึ่งที่อาศัยพื้นที่สถานีรถไฟเป็นที่พักอาศัย โดยในระหว่างวันที่ ๑๖ กันยายน-๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ พบกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๔๗๔ คน เป็นคนไร้ที่พึ่ง จำนวน ๑๕๖ คน บุคคลซึ่งใช้พื้นที่สาธารณะเป็นที่พักอาศัย จำนวน ๒๘๖ คน และบุคคลที่ประสบความเดือดร้อน จำนวน ๓๒ คน โดยให้ความช่วยเหลือตามกระบวนการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จัดตั้งสถานีสวัสดิการ ให้บริการด้านการให้คำปรึกษา ที่พักชั่วคราว ห้องน้ำ และสุขา ประสานส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งต่อเพื่อรักษาพยาบาล โดยนำร่องที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ ๓. แก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งบริเวณสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน-๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ พบกลุ่มเป้าหมาย จำนวน ๕๗๑ คน เป็นคนไร้ที่พึ่ง จำนวน ๓๔๓ คน บุคคลตกค้างรอถวายสักการะพระบรมศพ จำนวน ๒๑๖ คน และพบคนต่างด้าว จำนวน ๑๒ คน (ฝ่ายความมั่นคงรับตัวดำเนินการส่งกลับประเทศ) โดยเบื้องต้นกรณีคนไร้ที่พึ่งดำเนินการช่วยเหลือตามกระบวนการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และบุคคลที่ตกค้างรอถวายสักการะพระบรมศพได้จัดที่พักชั่วคราว อาหาร และเงินส่งกลับภูมิลำเนาในรายที่มีความจำเป็น โดยมีการรายงานผลการดำเนินงานให้กับกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวังอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งร่วมประชุมหารือเพื่อวางแผนการดำเนินการร่วมกันในระยะต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18353 | โครงการจัดหารถยนต์ (ทดแทน) เพื่อใช้ในภารกิจป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ยาเสพติด งานสืบสวนสอบสวน งานจราจร งานรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และงานอำนวยการในพื้นที่ทั่วประเทศ จำนวน 1,532 คัน | ตช | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการจัดหาพัสดุด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ โครงการจัดหารถยนต์ (ทดแทน) เพื่อใช้ในภารกิจป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ยาเสพติด งานสืบสวนสอบสวน งานจราจร งานรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และงานอำนวยการในพื้นที่ทั่วประเทศ จำนวน ๑,๕๓๒ คัน โดยได้ผู้เสนอราคาต่ำสุดวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๓๑๐,๗๓๔,๒๗๔ บาท ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18354 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้วเห็นว่า การบริหารสินทรัพย์ของ ธปท. ที่กำหนดให้สามารถลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศครั้งนี้จะทำให้การกระจายความเสี่ยงของเงินสำรองมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการบริษัทหรือกิจการที่เป็นผู้ออกตราสาร และในการบริหารความเสี่ยงจะยึดหลักการมีธรรมาภิบาลที่ดี ตระหนักถึงความเสี่ยงหลักที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ธปท. และเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ โดยมีคณะกรรมการต่าง ๆ ทำหน้าที่ดูแลและจัดการการบริหารความเสี่ยงของ ธปท. นอกจากนี้ ธปท. ได้กำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมการลงทุนในหน่วยลงทุนและตราสารทุนต่างประเทศในด้านต่าง ๆ ได้แก่ (๑) กำหนดแนวทางการลงทุนและเกณฑ์การบริหารความเสี่ยง โดยคำนึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง ผลตอบแทน และความเสี่ยง (๒) เตรียมความพร้อมของบุคลากรและระบบงานที่เกี่ยวข้อง และ (๓) พิจารณากำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศประเภทต่าง ๆ ที่เหมาะสม ทั้งนี้ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๐ แล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18355 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เพื่อชำระค่าจัดซื้ออากาศยานช่วยเหลือทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยนักท่องเที่ยว) | ตช | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ แล้ว จำนวน ๖๗๒,๐๓๙,๓๗๕ บาท เพื่อชำระค่าจัดซื้ออากาศยานช่วยเหลือทางการแพทย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยนักท่องเที่ยว จำนวน ๒ ลำ ในงวดที่ ๒ และงวดที่ ๓ และเห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18356 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 | มท | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างและปรับปรุงระบบไฟฟ้า พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในพื้นที่โครงการเพื่อเพิ่มความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาและอุปสรรคด้านการปฏิบัติการบำรุงรักษาและความปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการ ๔ เมือง (เทศบาลนครเชียงใหม่ เทศบาลนครนครราชสีมา เมืองพัทยา และเทศบาลนครหาดใหญ่) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินลงทุน ๑๑,๖๖๘.๕๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๒,๙๒๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงในพื้นที่ระบบสายใต้ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรม และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณ อาทิ การพัฒนาโครงการฯ ควรคำนึงถึงความสอดคล้องและความเชื่อมโยงกับแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนของแผนการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจน ตลอดจนการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เร่งรัดดำเนินการตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดโดยให้บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุน เช่น กรณีโครงการนี้ของ กฟภ. ให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18357 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง กรณีการเพิ่มทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) | กค | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย)] ซึ่งปัจจุบันกระทรวงการคลังได้ดำเนินการจนได้ข้อยุติเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ไม่มีรัฐวิสาหกิจใดสนใจเข้าร่วมโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. รับทราบกรณีการเพิ่มทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาลไทย (กระทรวงการคลัง) ตามข้อตกลงพื้นฐานว่าด้วยโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (Basic Agreement) จำนวน ๘๐,๓๙๗,๔๔๘.๙๘ บาท โดยงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการคลังพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของแผนการลงทุนของบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) ก่อนการเพิ่มทุน ตามแผนการลงทุนของบริษัทดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18358 | การจัดจ้างติดตั้งระบบรถไฟฟ้า จัดการเดินรถไฟฟ้า และบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน - บางซื่อ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | คค | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อตกลงการจ้าง และร่างสัญญาจ้าง เพื่อดำเนินการว่าจ้างบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) ติดตั้งระบบรถไฟฟ้า จัดการเดินรถไฟฟ้า และบริหารการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ในวงเงินค่าจ้างรวม ๙๑๘,๔๘๘,๐๔๖ บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ในประเทศที่เหมาะสม วิธีการให้กู้ต่อและค้ำประกันเงินกู้ และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินในกรอบวงเงินดังกล่าวได้ตามมาตรา ๗๕ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-บางซื่อ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ๓. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด และ รฟม. เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและนำเสนอผลการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาสัมปทานของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-บางแค ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบอย่างช้าภายในช่วงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ เพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18359 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับหลักประกันที่เป็นกิจการ พ.ศ. .... | พณ | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับหลักประกันที่เป็นกิจการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดคำนิยาม วิธีการยื่นเอกสารในการไต่สวน ข้อเท็จจริง วิธีการไต่สวน วิธีการสืบพยาน การจดบันทึกคำพยานบุคคล พยานเอกสาร และการให้ถ้อยคำของคู่สัญญาผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ (Video Conference) ได้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18360 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามโรงงานใช้สารเอชซีเอฟซี - 141b (สารไดคลอโรฟลูออโรอีเทน) ในกระบวนการผลิตโฟม พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศใช้สารเอชซีเอฟซี - 22 (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ในกระบวนการผลิต พ.ศ. .... | อก | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามโรงงานใช้สารเอชซีเอฟซี-141b (สารไดคลอโรฟลูออโรอีเทน) ในกระบวนการผลิตโฟม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการห้ามโรงงานใช้สารเอชซีเอฟซี-141b (สารไดคลอโรฟลูออโรอีเทน) หรือสารโพลีออลที่มีส่วนผสมของสารเอชซีเอฟซี-141b (สารไดคลอโรฟลูออโรอีเทน) ในกระบวนการผลิตโฟมทุกชนิด ยกเว้นการใช้ในการผลิตโฟมแบบฉีดพ่น (spray foam) ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศใช้สารเอชซีเอฟซี-๒๒ (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ในกระบวนการผลิต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการห้ามโรงงานใช้สารเอชซีเอฟซี-๒๒ (สารคลอโรไดฟลูออโรมีเทน) ในกระบวนการผลิตเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดทำความเย็นต่ำกว่า ๕๐,๐๐๐ บีทียูต่อชั่วโมง เพื่อการจำหน่ายในประเทศ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการแจ้ง (notify) ข้อกำหนดของประกาศทั้งสองตามขั้นตอนขององค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อความโปร่งใส และควรเตรียมความพร้อมในการลดการใช้สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) ภายใต้ Kigali Amendment รวมทั้งควรพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือและตรวจสอบผู้ประกอบการนำเข้าและผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (HCFCs) ในกระบวนการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้ประกอบการใช้สารอื่นทดแทนสาร HCFCs และกำหนดแนวทางการจัดการสารทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่หมดอายุการใช้งานแล้ว ตลอดจนควรพิจารณาให้มีการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการลดและเลิกใช้สาร HCFCs ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และประชาสัมพันธ์ข้อมูล รวมไปถึงกำหนดแนวทางเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่รองรับสำหรับสนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวในอนาคต ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....