ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 3 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 41 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย - พม่า อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองเมียวดี ประเทศสหภาพพม่า | กต | 07/09/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดน
ร่วมไทย-พม่า (Joint Boundary Committee-JBC) อย่างไม่เป็นทางการ ณ เมืองเมียวดี ประเทศสหภาพพม่า โดย คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-พม่า (ฝ่ายไทย) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามคำเชิญของประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-พม่า (ฝ่ายพม่า) เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เพื่อหา รือเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนกับฝ่ายพม่าอย่างไม่เป็นทางการโดยเฉพาะปัญหาการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งของไทย บริเวณแม่น้ำเมย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่พม่าใช้อ้างในการปิดด่านบริเวณอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก สรุปได้ดังนี้ ๑. ผลการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ ประธาน JBC ฝ่ายไทย กล่าวว่า เรื่องเขตแดนเป็นเรื่องที่ละเอียด อ่อนซึ่งอาจทำให้กระทบไปถึงความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องแยกประเด็นเขตแดนออกจากประเด็นอื่น โดยเห็นว่าบทบาทของ JBC ในการแก้ไขปัญหาเขตแดนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และหาก JBC สามารถพบปะ หารือกันได้อย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนได้เป็นอย่างดีและพร้อมที่จะผลักดันให้การดำเนิน การภายใต้กรอบ JBC มีความคืบหน้าโดยเร็วเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากประเด็นเรื่องเขตแดนเป็นความสำคัญสูงสุด ในความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยในส่วนของฝ่ายพม่าเสนอให้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยมอบ หมายให้อธิบดีกรมการกงสุลและกฎหมาย (Consular and Legal Affairs Department) เป็นผู้หารือกับฝ่ายไทย ส่วนฝ่ายไทยได้มอบหมายให้อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นประธานในการหารือฝ่ายไทย โดยประธาน JBC ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันแบบ four-eye ๒. ผลการหารือระหว่างอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกับอธิบดีกรมการกงสุลและกฎหมายของพม่า ทั้งสองฝ่ายตกลงกันตามข้อเสนอของฝ่ายพม่าว่า การประชุมครั้งนี้มิได้ประชุมเพื่อให้ได้ข้อสรุปใด ๆ แต่จะเป็นการ ชี้แจง ส่งข้อความ ท่าทีของแต่ละฝ่ายให้อีกฝ่ายได้รับทราบ โดยฝ่ายพม่าได้ยืนยันหลักการตามกฎหมายระหว่าง ประเทศว่าก่อนการดำเนินการก่อสร้างบริเวณแม่น้ำเขตแดนจะต้องมีการแจ้งอีกฝ่ายก่อนเสมอ และได้หยิบยกปัญหา การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำเมย ปัญหาเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณแม่น้ำปากจั่น ปัญหาเกี่ยวกับเกาะกลาง แม่น้ำเมย (บริเวณใต้สะพานมิตรภาพ) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และปัญหาเกาะตายิ้ม (Lone Phaw Gyi) จังหวัด ระยอง ขึ้นหารือ ซึ่งฝ่ายไทยได้รับทราบปัญหาและท่าทีของฝ่ายพม่า โดยชี้แจงว่าในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ทำไปด้วยความมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อตลิ่งฝั่งพม่าและเป็นการก่อสร้างเพื่อป้องกันมิให้มีการกัดเซาะตลิ่ง พร้อมทั้ง เห็นชอบตามข้อเสนอของฝ่ายพม่าให้มีคณะกรรมการเทคนิคร่วมภายใต้กรอบของ JBC เพื่อพิจารณาประเด็นเกี่ยว กับการก่อสร้างบริเวณแม่น้ำที่เป็นเขตแดนระหว่างไทย-พม่าตลอดแนว และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้อง กับกฎหมายระหว่างประเทศและสามารถเป็นที่ยอมรับได้ของทั้งสองฝ่าย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าประเด็น เรื่องแม่น้ำเมยถือเป็น priority ที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องหยิบยกขึ้นพิจารณาเป็นลำดับแรก
|
||||||||||||||||||
22 | ขอเปลี่ยนตัวบุคคลเข้ารับการศึกษาประจำปีการศึกษา 2552 - 2553 | กห | 23/03/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอเปลี่ยนตัวบุคคลเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร
(วปอ.) รุ่นที่ 52 ประจำปีการศึกษา 2552-2553 ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ 1. กระทรวงมหาดไทย 1.1 เดิมนายกฤษฎา บุญราช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เปลี่ยนเป็นนายเดชรัฐ สิมศิริ รองผู้ว่าราช การจังหวัดยะลา 1.2 เดิมนายกำธร ถาวรสถิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เปลี่ยนเป็นนายสุรพล แสวงศักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง 2. กระทรวงการต่างประเทศ เดิมนายวิทวัส ศรีวิหค อธิบดีกรมอาเซียน เปลี่ยนเป็นนายจักร บุญ-หลง อธิบดีกรมการกงสุล
|
||||||||||||||||||
23 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การคุ้มครองสิทธิบุคคลที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ | สสป | 30/06/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การคุ้มครองสิทธิบุคคลที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ด้านกฎหมาย 1.1.1 ออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองดูแลช่วยเหลือคนไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 1.1.2 ให้ตำรวจท่องเที่ยวและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจสอบสวนคดีบางประเภทที่เกีjยว ข้องโดยตรงตามควรแก่กรณี เช่น คดีหลอกลวงต้มตุ๋น ฉ้อโกงนักท่องเที่ยว คดีที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ หลอกลวง หญิงไทยไปขายหรือไปทำงาน 1.1.3 ทบทวนนโยบายการเปิดเสรีการเข้าออกประเทศไทยภายใน 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า กับในบางประเทศเพื่อป้องกันกลุ่มอิทธิพลในการมาแสวงหาผลประโยชน์หรือการหลบหนีของผู้กระทำความผิด ในประเทศเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในประเทศไทย 1.2 ด้านการบริการ 1.2.1 เพิ่มศูนย์คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือคนไทยที่สมรสกับชาวต่างชาติในจังหวัดที่มีชาวต่าง ชาติอาศัยอยู่มาก และในต่างประเทศที่มีคนไทยอาศัยอยู่มาก 1.2.2 พัฒนาระบบการให้บริการคุ้มครองสิทธิและการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ตแก่คนไทยที่มีคู่สมรสเป็นคนต่างชาติ 1.2.3 จัดทำฐานข้อมูลของคนไทยที่สมรสกับชาวต่างชาติให้ทันสมัย 1.3 ด้านการเผยแพร่และการให้ความรู้ 1.3.1 จัดให้มีการจัดพิมพ์เอกสารหรือคู่มือ เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายอย่างกว้างขวางที่ เกี่ยวข้องกับสิทธิการสมรส มรดก การหย่า การรับรองบุตรที่เกี่ยวกับกฎหมายไทย และกฎหมายประเทศนั้น ๆ 1.3.2 สร้างฐานข้อมูลชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย 1.4 ด้านวัฒนธรรมและประเพณี 1.4.1 จัดกิจกรรมหรือการตั้งชมรมเพื่อส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรม ความคิดระหว่างคน ไทยและชาวต่างชาติ และจัดฝึกอบรมทางด้านภาษาให้กับหญิงไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ 1.4.2 ส่งเสริมพัฒนาให้เด็กและเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งจากบิดามารดาชาวต่างชาติ (ลูกครึ่ง) ได้ รวมกลุ่มกันเพื่อร่วมทำกิจกรรมในเชิงบวก และให้คนไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติได้มีโอกาสรวมกันเป็นเครือ ข่ายในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันพัฒนาส่งเสริมเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งจากบิดามารดาชาวต่างชาติไป ในทางที่ดี 1.4.3 จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเฉพาะสำหรับคนไทยที่สมรสกับคนต่างชาติ และคนต่างชาติที่มีคู่ สมรสเป็นคนไทย รวมทั้งบุตรของบุคคลเหล่านั้นให้มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อลดความขัดแย้ง ความแตกต่างทาง วัฒนธรรม ค่านิยม ความคิด 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒน ธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมการกงสุล
|
||||||||||||||||||
24 | การเร่งรัดดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูวิกฤตการท่องเที่ยว | นร | 03/06/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
21 เมษายน 2552 (เรื่อง ขอเสนอมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูวิกฤตการท่องเที่ยว) ให้แล้วเสร็จและเป็นไปตามเวลา ที่กำหนดและรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการทางภาษีให้เร่งรัด ดำเนินการ โดย 1. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องยกเว้นหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานที่ต้อง แก้ไข หรือออกประกาศกระทรวงเพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูวิกฤตการท่องเที่ยว เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่ง รัดการดำเนินการตามกฎ ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จทันตามกำหนดเวลาที่ให้ขยายระยะเวลาการ ดำเนินมาตรการ (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2552) ออกไป 1 รอบปี นับแต่วันที่กฎหมาย หรือ ระเบียบของแต่ละหน่วยงานมีผลใช้บังคับ 2. เห็นชอบในหลักการให้มีการชดเชยงบประมาณให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่ต้องสูญเสียรายได้อันเนื่อง จากการยกเว้น หรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามการดำเนินการในข้อ 1. เช่น การชดเชยรายได้ค่าธรรม เนียมการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวแก่คนต่างด้าวให้แก่กระทรวงการต่างประเทศ (กรมการกงสุล) เป็นต้น โดยให้สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณารายละเอียดของกรอบวงเงินชดเชย และการผ่อน ผันการนำเงินรายได้ส่งรัฐให้แก่กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 20 มกราคม 2552 (เรื่อง ผลการหารือการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้ รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง) ซึ่งเห็นชอบใน หลักการกรอบวงเงินชดเชยงบประมาณให้แก่หน่วยงานที่ต้องสูญเสียรายได้ไว้แล้วเป็นเงินจำนวน 1,597 ล้านบาท รวมทั้งวงเงินที่ต้องปรับเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินมาตรการที่ขยายออกไปอีก 1 รอบปี ทั้งนี้ วง เงินชดเชยดังกล่าวให้มีการชดเชยได้ไม่เกินจำนวนเงินที่หน่วยงานต้องสูญเสียไปจริง
|
||||||||||||||||||
25 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 สายปากเกร็ด - นครราชสีมา ที่กรมการกงสุล พ.ศ. .... | คค | 06/05/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยาย
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 สายปากเกร็ด-นครราชสีมา ที่กรมการกงสุล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข 304 สายปาก เกร็ด-นครราชสีมา ที่กรมการกงสุล ในท้องที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
26 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (จำนวน 11 ราย 1. นายกฤต ไกรจิตติฯ) | กต | 07/04/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัด
กระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 11 ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ดังนี้ 1. นายกฤต ไกรจิตติ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย 2. นางกฤษณา จันทรประภา ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ 3. นายเชต ธีรพัฒนะ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต รัฐคูเวต 4. นายอิศร ปกมนตรี ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง (นักบริหาร การทูต ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ 5. นายจักริน ฉายะพงศ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐ บราซิล 6. นางสาววิภาวรรณ นิพัทธกุศล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก สาธารณรัฐชิลี 7. นายอนุสนธิ์ ชินวรรโณ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมองค์การ ระหว่างประเทศ 8. นายกิตติพงษ์ ณ ระนอง ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมเอเชียตะวัน ออก 9. นายพิษณุ จันทร์วิทัน ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยม เวียดนาม 10. นายจัก บุญ-หลง ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการกงสุล 11. นายอภินันท์ ภัทรธิยานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงาน (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ
|
||||||||||||||||||
27 | ผลการหารือการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง | นร | 20/01/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ตามผลการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวทุกประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยเป็นเวลา ๓ เดือน และให้สำนักงบประมาณพิจารณารายละเอียดงบประมาณที่ต้องจ่ายชดเชยให้กรมการกงสุลและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน ๘๐๐ ล้านบาท และให้กระทรวงการคลังพิจารณาผ่อนผันเรื่องรายได้นำส่งรัฐเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณ ๑.๒ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจโรงแรม โดยให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาออกกฎกระทรวง เพื่อขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการประกอบธุรกิจโรงแรมในปี ๒๕๕๓ ๑.๓ ลดหย่อนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม โดยให้การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปรับลดอัตราค่าประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ ๑.๒๕ เท่าของเดือน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระดี โดยคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง ๓ เดือน ๑.๔ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานและที่เก็บอากาศยาน (Landing & Parking Fee) โดยให้กรมการขนส่งทางอากาศ และบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และกระทรวงการคลังดำเนินการ ดังนี้ ๑.๔.๑ ให้กรมการขนส่งทางอากาศลดค่าธรรมเนียม Landing & Parking Fee ของทุกท่าอาอากาศยานในความดูแลของกรมการขนส่งทางอากาศลงร้อยละ ๕๐ ทั้งเที่ยวบินแบบประจำและเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำ มีผลถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๒ ๑.๔.๒ ให้ ทอท. ลดค่าธรรมเนียม Landing & Parking Fee สำหรับเที่ยวบินแบบประจำของท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. ทุกแห่ง ร้อยละ ๒๐ มีผลถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๒ ส่วนเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำที่อากาศยานเชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ และดอนเมือง ให้ลดค่าธรรมเนียมลงร้อยละ ๕๐ มีผลถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ ๑.๔.๓ ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) พิจารณาผ่อนปรนเป้าหมายด้านรายได้ของ ทอท. ที่ได้กำหนดเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) ของ ทอท. ๑.๕ ลดหย่อนค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานแห่งชาติ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลดค่าธรรมเนียมเข้าชมลงร้อยละ ๕๐ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศและคนไทยในพื้นที่อุทยานทั่วประเทศ ๒. ให้แก้ไขเรื่อง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานแห่งชาติที่ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลดค่าธรรมเนียมเข้าชมลงร้อยละ ๕๐ สำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศและคนไทยในพื้นที่อุทยานทั่วประเทศ จาก “เป็นเวลา ๑ ปี” เป็น “เป็นเวลา ๓ เดือน” ๓. ส่วนเรื่อง การยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นเวลา ๓ เดือน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๔/๐๑๙๙ ลงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๒ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติแล้วตามข้อ ๑ จึงเห็นชอบให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในข้อ ๑ ต่อไป |
||||||||||||||||||
28 | การจัดทำการตรวจลงตราเดียวในกรอบ ACMECS ระหว่างไทยกับกัมพูชา | กต | 25/10/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอการจัดตั้งคณะ
กรรมการร่วมเพื่อพิจารณาการจัดทำการตรวจลงตราเดียว (Joint Committee on ACMECS Single Visa) โดยมี อธิบดีกรมการกงสุล เป็นประธานคณะกรรมการร่วม มีกรรมการอื่น 9 คน โดยมีผู้อำนวยการตรวจลงตรา ฯ กรมการกงสุล เป็นกรรมการและเลขานุการ และการลงนามใน MOU ในระหว่างการประชุมผู้นำ ACMECS ในวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2548 ที่กรุงเทพ ฯ หากมีการแก้ไขที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการต่างประเทศ ประสานกับฝ่ายกัมพูชา และสามารถดำเนินการต่อไปได้ ทั้ งนี้ ให้เพิ่มผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาการจัดทำการตรวจลงตราเดียวตามความเห็นของกระทรวง มหาดไทยและให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ ไทยผลักดันการจัดทำการตรวจลงตราเดียวระหว่างไทย-กัมพูชาให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็วควบคู่กับ การวางแผนเชิงบูรณาการเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชื่อมโยงไทย-กัมพูชาอย่างเป็นระบบ โดยให้ความช่วยเหลือ พัฒนาการท่องเที่ยวของกัมพูชาตามความเหมาะสมเพื่อให้โครงการจัดทำการตรวจลงตราเดียวเกิดประโยชน์สูง สุดตามวัตถุประสงค์ของกรอบ ACMECS และขยายผลกับประเทศอื่นได้ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
29 | การพัฒนาระบบหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย | กต | 07/06/2548 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับความคืบหน้าการพัฒนา
ระบบหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย โดยจะมีการพัฒนาระบบออกเป็น 4 ช่วง คือ ช่วงระยะที่ 1 เริ่มตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2548 เป็นช่วงโครงการนำร่อง โดยทดลองใช้งานกับหนังสือเดินทางทูตและราช การ และเปิดบริการเฉพาะที่อาคารกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ ช่วงระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน-31 กรกฎาคม 2548 เป็นช่วงโครงการนำร่องสำหรับประชาชนทั่วไปโดยเปิดให้บริการเฉพาะที่อาคารกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ และจะยังผลิตหนังสือเดินทางแบบเดิมคู่ขนานไปด้วย ช่วงระยะที่ 3 เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2548 กระทรวงการต่างประเทศจะออกหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์แทนหนังสือเดินทางรูปแบบเดิม โดยเปิด ให้บริการรับคำร้องที่อาคารกรมการกงสุล ถนนแจ้งวัฒนะ สำนักงานสาขาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สำนักงานสาขาในต่างจังหวัด รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลไทยในต่างประเทศ สำหรับช่วงระยะที่ 4 จะเป็นการพัฒนา และเปิดสำนักงานบริการรับคำร้องเพิ่มเติมอีก 10 สาขา และหน่วยสัญจรอีก 5 หน่วย ทั้งนี้ หนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว จะมีการบันทึกข้อมูลทางชีวภาพของผู้ถือหนังสือเดินทางไว้ใน Microchip ที่ฝั่งไว้ในหนังสือเดินทาง รวมทั้งได้ประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และบริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินโครงการนำร่องระบบตรวจคนเข้าเมืองผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ด้วยหนังสือเดิน ทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยติดตั้งระบบการตรวจคนเข้าเมืองโดยอัตโนมัติ (Automatic Gate) ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ และติดตั้งเครื่องอ่านหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์แบบธรรมดา (Manual)
|
||||||||||||||||||
30 | ขออนุมัติงบประมาณปี 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (การบริหารงานและดำเนินงานของศูนย์บริการการไปทำงานต่างประเทศ) | รง | 16/07/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่าย
ความสงบเรียบร้อยและแรงงาน) ที่มีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้จัดสรรงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการ พัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ จำนวน 71,862,000 บาท เพื่อใช้ในการบริหารงานและดำเนินการของศูนย์ บริการการไปทำงานต่างประเทศ ให้แก่ กรมการจัดหางาน กรมการกงสุล และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาปรับแผนการ ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2547 ของหน่วยงานเพื่อนำมาใช้ดำเนินการ และ ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ปัญหาการหลอกลวงแรง งานไทยไปต่างประเทศ เช่น ไต้หวัน และอิสราเอล เป็นต้น มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงขอให้ เร่งรัดการดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจริงจัง โดย เฉพาะอย่างยิ่งการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แรงงานไทยได้ทราบข้อมูล ที่ถูกต้อง และไม่ตกเป็นเหยื่อการล่อลวงดังกล่าว |
||||||||||||||||||
31 | การรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงานตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี | กต | 15/06/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงาน
ตามผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 - 28 กรกฎาคม 2546 ดังนี้ เรื่องปัญหาเขตแดน บริเวณหลักเขตแดนที่ 69 - 72 (บูกิตเยลี) กระทรวงการต่างประเทศกำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่ที่ฝ่ายมาเล เซียมอบให้เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2547 เรื่องการแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ ขณะนี้กำลังรอคำตอบจาก ฝ่ายมาเลเซียเรื่องที่กระทรวงมหาดไทยเสนอที่จะประชุมร่วมกับมาเลเซีย เพื่อแสวงหามาตรการร่วมกันในการ เชื่อมโยงข้อมูลด้านทะเบียนราษฎร์ระหว่างกัน เพื่อตรวจสอบสถานะของบุคคลสองสัญชาติ และกำหนดมาตร การที่จะดำเนินการต่อไป เรื่องการแก้ไขกฎระเบียบ Made in Malaysia ขณะนี้กำลังรอผลการพิจารณาจาก ฝ่ายมาเลเซีย และเรื่องความร่วมมือการตรวจลงตรา กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้เป็นเจ้าภาพ จัดประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2546 ที่ประชุมได้มีมติให้ศึกษาพิจารณากำหนดมาตร การในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
32 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี) | มท | 20/01/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
ของกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี ดังนี้ เรื่อง ปัญหาบุคคลสองสัญชาติ เห็น ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการกงสุล กระทรวง การต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นต้น ประชุมหารือร่วมกันเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางในการ ดำเนินงานต่อไป และเห็นควรให้มีการประชุมหารือในระดับหน่วยงานระหว่างกรมการปกครอง กับ NATIONAL REGISTRATION DEPARTMENT OF MALAYSIA เพื่อเตรียมการจัดทำบันทึกข้อตกลงในการดำเนินการแก้ไขปัญหา บุคคลสองสัญชาติร่วมกันต่อไป ส่วนเรื่อง การขยายเวลาเปิดทำการด่านผ่านแดน ตามที่ไทยได้เสนอการขยาย เวลาการเปิดจุดผ่านแดน รวมทั้งได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือตามแนวชายแดนไทย- มาเลเซีย (Sub-JC) และคณะทำงานร่วมเพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องการขยายเวลาทำการจุดผ่านแดน การ ยกระดับจุดผ่านแดน และการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่ม และเรื่องอื่น ๆ รวม 9 เรื่อง นั้น สถานะล่าสุด ฝ่ายไทยได้มี การประชุม Sub-JC เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน และวันที่ 9 ธันวาคม 2546 โดยที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ กรมศุลกากรเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบคณะทำงานขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดน มีผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เป็นประธาน ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ เป็นเลขานุการ นอกจากนี้ คณะทำงานขยายเวลาเปิดจุดผ่านแดนของ ฝ่ายไทยจะหารือร่วมกับฝ่ายมาเลเซีย และนำข้อยุติเบื้องต้นเสนอต่อ Sub-JC ซึ่งกำหนดประชุมร่วมกันครั้งแรก ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ณ ประเทศมาเลเซีย |
||||||||||||||||||
33 | การจัดทำหนังสือเดินทางให้แก่ประชาชนในโครงการบัวแก้วสัญจร | กต | 13/01/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการดำเนินการจัดทำหนังสือเดิน
ทางให้แก่ประชาชนในโครงการบัวแก้วสัญจร โดยกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ และ กองหนังสือเดินทาง กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ไปให้บริการแนะนำและรับเรื่องร้องทุกข์คนไทย ตกทุกข์ได้ยากในต่างประเทศ พร้อมทั้งจัดหน่วยบริการหนังสือเดินทางเคลื่อนที่แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียง ราย หนองคาย สงขลา อุบลราชธานี พะเยา เลย และในพื้นที่เขตใกล้เคียง ซึ่งประชาชนได้รับความสะดวกในการ ให้บริการดังกล่าวเป็นอย่างมาก สำหรับการจัดโครงการบัวแก้วสัญจรครั้งต่อไป กระทรวงการต่างประเทศได้มี ความพร้อมมากยิ่งขึ้นในการให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยการให้บริการหนังสือเดินทางจะสามารถส่งมอบ เล่มหนังสือเดินทางให้แก่ประชาชนได้ในวันเดียวกับที่ยื่นขอรับบริการ และนอกจากการบริการหนังสือเดินทาง รวมทั้งการให้คำปรึกษาด้านงานคุ้มครองคนไทยตกทุกข์ในต่างประเทศแล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะนำเจ้า หน้าที่ไปให้บริการและคำปรึกษาด้านงานทะเบียนราษฎร ทะเบียนครอบครัว และงานรับรองเอกสารแก่คนไทย ที่จะไปหรือเคยไปอยู่ในต่างประเทศด้วย |
||||||||||||||||||
34 | ผลการดำเนินการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนทางโทรศัพท์ (Call Centre) | กต | 26/05/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมการกงสุล รายงานผลการดำเนิน
การจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนทางโทรศัพท์ (Call Centre) ว่า ปัจจุบันกรมการกงสุลมีระบบข้อมูลอัตโนมัติเพื่อ ให้บริการประชาชนด้านข้อมูลต่าง ๆ อาทิ การออกหนังสือเดินทาง การต่ออายุหนังสือเดินทาง การรับรองเอก สารและนิติกรณ์ การคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ การตรวจลงตรา รวมถึงการออกเอก สารเดินทางคนต่างด้าว ฯลฯ ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2981 7171 แต่ระบบดังกล่าว สามารถตอบรับโทรศัพท์ จากประชาชนได้เพียง 8 สายพร้อมกัน ดังนั้น เพื่อเป็นการพัฒนาการให้บริการและสนองตอบความต้องการของ ประชาชนที่มีเพิ่มมากขึ้น กรมการกงสุลจึงได้มีโครงการให้บริการประชาชนทางโทรศัพท์สายด่วนที่ หมายเลข 1159 โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นเงิน จำนวน 457,000 บาท เป็นค่าอุปกรณ์ และค่าใช้ จ่ายในการติดตั้งระบบ VOICE MAIL ประมาณ 420,000 บาท และค่าติดตั้งโทรศัพท์และค่าเช่าโทรศัพท์ จำนวน 10 เลขหมาย ประมาณ 37,000 บาท |
||||||||||||||||||
35 | ขออนุมัติมติคณะรัฐมนตรีเรื่องแนวทางการช่วยเหลือคนไทยที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนในต่างประเทศ | รส | 19/06/2544 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3)
ในการพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือคนไทยที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนในต่างประเทศ ตามข้อเสนอของ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม โดยให้กระทรวงแรงงาน ฯ มีหน้าที่รับผิดชอบการให้ความช่วยเหลือคน ไทยและหญิงไทยที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนที่อยู่ในประเทศไทย รวมทั้งที่ถูกส่งกลับประเทศไทย และให้ กระทรวงการต่างประเทศผิดชอบการให้ความช่วยเหลือคนไทยและหญิงไทยที่ประสบปัญหาความเดือนร้อนใน ต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ (กรมการกงสุล) ขอตั้งงบประมาณในการให้ความช่วยเหลือใน ส่วนต่าง ๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตในการเดินทางไปยังเมืองและประเทศในเขต อาณาที่ไม่ได้เป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ เพื่อให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ ยาก ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กับเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขรับผิดชอบในการจัดตั้ง งบประมาณสำหรับผู้เชี่ยวชาญนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยาเพื่อเดินทางไปให้คำปรึกษา แนะนำ และให้ ความช่วยเหลือในกระบวนการทางสังคมสงเคราะห์และจิตวิทยา ตลอดจนดำเนินการด้านการป้องกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ไม่ให้คนไทยเดินทางไปโดยขาดความพร้อม หรือไปแสวงโชคโดยไม่สมควร ตามความเห็นของ สำนักงบประมาณ นอกจากนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงแรงงาน ฯ รับ ผิดชอบจัดทำเอกสารคู่มือเผยแพร่ให้กับคนไทยและหญิงไทยในต่างประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณ และให้กระทรวงแรงงาน ฯ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ (เกี่ยวกับการประสานงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบและตรวจ จับผู้ลักลอบเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย โดยใช้เอกสารหรือหนังสือเดินทางปลอม) ไปพิจารณาดำเนินการ ด้วย |
||||||||||||||||||
36 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (จำนวน 3 ราย) | กต | 24/10/2543 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชัยสิริ อนะมาน และนายอุ้ม เมาลานนท์ ให้ดำรงตำแหน่ง
เอกอัครราชทูต (เจ้าหน้าที่การทูต 10) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และกรุงย่างกุ้ง โดยให้ รับเงินเดือนเท่าเดิม และรับเงินเดือนในระดับ 10 ขั้น 34,120 บาท ตามลำดับ รวมทั้งแต่งตั้ง นายเพ็ญศักดิ์ ชลารักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมการกงสุล โดยให้รับเงินเดือนเท่าเดิม ตามที่กระทรวง การต่างประเทศเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||
37 | การแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาคนไทยถูกหลอกลวงไปทำงาน ในต่างประเทศ | กต | 23/05/2543 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาคนไทยถูกหลอก
ลวงไปทำงานในต่างประเทศ โดยมี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน และมีผู้อำนวยการคุ้มครองและ ดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เป็นกรรมการและเลขานุการ และกรรมการอื่นอีก 21 ราย มีหน้าที่ประสานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือผู้ถูกหลอกลวง ป้องกันและปราบปรามการหลอกลวงคนไทยไปทำงานในต่างประเทศ รวมทั้งเสนอแนะข้อคิดเห็น มาตรการ หรือ แนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ถือว่าคณะกรรมการดังกล่าวเป็น คณะกรรมการตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งสามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้โดยไม่ต้องจัดทำคำสั่งเสนอนายก รัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งอีก ตามนัยหนังสือซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการ ตามมติคณะ รัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 107 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2541 |
||||||||||||||||||
38 | ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมต่าง ๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ (ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. ....) | กต | 07/07/2541 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมสารนิเทศ กรมอาเซียน กรมการกงสุล สำนักงาน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กรมพิธีการทูต กรมเศรษฐกิจ พ.ศ. .... รวม 6 ฉบับ 2. เห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดส่วนราชการตามพระราชกฤษฎีกาแบ่ง ส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ กับอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนัก งานเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. .... แ ละให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศใช้อัตรากำลังที่มีอยู่โดยไม่มีการเพิ่มอัตรา กำลัง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 3. สำหรับร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมองค์การระหว่างประเทศ และกรมสนธิสัญญาและ กฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปหารือกับ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณให้ได้ข้อยุติ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
39 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 05/08/2540 | |||||||||||||||
รับทราบตามสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 33/2540
วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม 2540 ตามที่ประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เสนอ และเห็น ชอบให้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เสนอ กับให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ โดยให้แก้ไขเป็น ให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ เสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุมโดยตรง แล้วให้คณะกรรมการประสาน งานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป และเห็นชอบในหลักการร่างพระ ราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจ หน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ ไปเป็นของ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานกับคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อ ดำเนินการขอเปลี่ยนระเบียบวาระในช่วงเวลาและลำดับที่เหมาะสมต่อไป |
||||||||||||||||||
40 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ไปเป็นของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. .... | นร | 15/07/2540 | |||||||||||||||
รับหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
และร่างพระราชบัญญัติโอนอำนาจหน้าที่และกิจการบริหารบางส่วนของสำนักงานปลัดกระ ทรวงการต่างประเทศ ไปเป็นของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ โดยให้เสนอร่าง พระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (นางสาวธารทอง ทองสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร พรรคชาติพัฒนา กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ให้นายกรัฐมนตรี ลงนามรับรองก่อน ส่งสภาผู้แทนราษฎรบรรจุระเบียบวาระและให้พิจารณารวมกับร่างของรัฐบาล โดยใช้ร่าง ของรัฐบาลเป็นหลัก และให้ส่งสภาผู้แทนราษฎร ตามความเห็นของคณะกรรมการประสาน งานสภาผู้แทนราษฎร |
.....