ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 1 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 1 จากข้อมูลทั้งหมด 1 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | ผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งแรกของปี 2556 (Business Sentiment Survey on Japanese Corporations in Thailand, 1st Half of 2013) | นร11 | 06/08/2556 | ||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ (Business Sentiment Survey on Japanese Corporations in Thailand 1st Half of 2013) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สภาพธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ โดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งแรกและครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ อยู่ที่ระดับ +๖๒ และ +๔๑ ตามลำดับ แต่ปรับตัวลดลงเป็น +๑๗ และ +๑๙ ในครึ่งแรกและครึ่งหลังของปี ๒๕๕๖ ตามลำดับ โดยดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ มีค่าเป็นบวกในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมยกเว้นกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ และกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ๒. การลงทุนในสินค้าทุนของผู้ประกอบการประเภทอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดว่าจะลงทุนเพิ่มเติมในปี ๒๕๕๖ โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมเคมีมีแนวโน้มที่จะลงทุนเพิ่มสูงที่สุดคิดเป็นร้อยละ ๕๔ และ ๔๗ ตามลำดับ ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมทั่วไปมีแนวโน้มลดการลงทุนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ ๕๒ และ ๕๐ ตามลำดับ ๓. การส่งออก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มสดใสในอนาคต ลำดับที่ ๑ คือ ตลาดอินโดนีเซีย คิดเป็นร้อยละ ๕๑ รองลงมา ได้แก่ ตลาดพม่า เวียดนาม อินเดีย และญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ ๓๗ ๓๓ ๓๑ และร้อยละ ๒๒ ตามลำดับ ส่วนตลาดยุโรปอยู่ในลำดับที่ ๑๒ ร้อยละ ๙ และตลาดสหรัฐอเมริกาอยู่ในลำดับที่ ๑๐ ร้อยละ ๑๑ ๔. การขยายฐานการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ประกอบการได้ตัดสินใจขยายฐานการลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน โดยประเทศเพื่อนบ้านที่ผู้ประกอบการตัดสินใจขยายการลงทุนหรือได้ขยายฐานการลงทุนไปแล้ว ลำดับที่ ๑ คือ อินโดนีเซีย คิดเป็นร้อยละ ๕๙ รองลงมา ได้แก่ เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา คิดเป็นร้อยละ ๓๙ ๓๐ ๑๒ และร้อยละ ๑๐ ตามลำดับ ๕. ความท้าทายในการบริหารงานของผู้ประกอบการ ผลการสำรวจพบว่า การแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงมากขึ้นมีความสำคัญเป็นลำดับที่ ๑ คิดเป็นร้อยละ ๖๒ รองลงมา ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของค่าแรง ร้อยละ ๕๖ การขาดบุคลากรระดับบริหาร ร้อยละ ๕๔ การแข่งขันทางด้านราคาที่ส่งผลให้ราคาสินค้าต่ำลง ร้อยละ ๔๘ และการโยกย้ายงานของลูกจ้าง ร้อยละ ๓๒ ๖. ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย ผลการสำรวจพบว่า การพัฒนาพิธีการศุลกากรเป็นประเด็นที่มีข้อเรียกร้องมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ ๕๐ รองลงมา ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพทางการเมือง ร้อยละ ๓๖ การพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ ร้อยละ ๓๔ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๓๐ การผ่อนปรนกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ร้อยละ ๒๙ และการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ร้อยละ ๒๙ สำหรับผลสำรวจจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรม พบว่า การพัฒนาพิธีการศุลกากรเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการเรียกร้องมากที่สุด ร้อยละ ๕๖ รองลงมา ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพการเมือง ร้อยละ ๓๙ การรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ร้อยละ ๓๗ ในส่วนของผู้ประกอบการที่ไม่ใช่อุตสาหกรรม ผลการสำรวจพบว่า การผ่อนคลายกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติเป็นประเด็นที่มีข้อเรียกร้องมากที่สุดร้อยละ ๔๔ รองลงมา ได้แก่ การพัฒนาพิธีการศุลกากร ร้อยละ ๔๑ และการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่า ร้อยละ ๓๖ ๗. ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าการแข็งค่าของเงินบาทมีผลกระทบทางลบ ร้อยละ ๒๗ รองลงมามองว่ามีผลกระทบทางลบเล็กน้อย ร้อยละ ๒๕ และมีผลกระทบทางบวกเล็กน้อย ร้อยละ ๒๓ ในขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าการอ่อนค่าของเงินเยนมีผลกระทบทางบวกเล็กน้อย ร้อยละ ๔๐ และไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ร้อยละ ๒๘ ในด้านการรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ร้อยละ ๔๕ รองลงมา ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อวัตถุดิบจากในประเทศ ร้อยละ ๒๕ การเพิ่มธุรกรรมในรูปเงินบาท ร้อยละ ๑๘ และการเพิ่มยอดขายในประเทศไทย ร้อยละ ๑๗ ๘. มาตรการในการขับเคลื่อนการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในระยะกลางและระยะยาว ผลการสำรวจพบว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านถนนเป็นมาตรการที่ผู้ประกอบการเห็นว่ามีความสำคัญเป็นลำดับแรก ร้อยละ ๖๒ รองลงมา ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ร้อยละ ๓๘ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ ร้อยละ ๓๗ การศึกษา ร้อยละ ๓๓ และการใช้แรงงานต่างด้าว ร้อยละ ๓๑ ในด้านการพัฒนาแรงงาน ผู้ประกอบการเห็นว่าประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมมากที่สุด ร้อยละ ๓๖ รองลงมา ได้แก่ ทักษะด้านภาษา ร้อยละ ๓๓ และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ร้อยละ ๒๘ ในด้านความได้เปรียบของแรงงานไทยในภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่าแรงงานไทยมีความได้เปรียบในด้านทัศนคติการทำงาน ร้อยละ ๔๐ รองลงมา ได้แก่ ความเข้าใจในธุรกิจ ร้อยละ ๒๖ และความรู้ทั่วไป ร้อยละ ๒๕
|
.....