คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการให้เอกชนลงทุนก่อ
สร้างบริหาร  และประกอบการท่าเทียบเรือ A3  และท่าเทียบเรือในโครงการท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 2 (ท่า
เทียบเรือ C1, C2, D1,  D2  และ  D3) ในคราวเดียวกัน  ภายใต้ผู้ประกอบการรายเดียว  เนื่องจากผลตอบ
แทนทางการเงินกรณีรวมท่าเทียบเรือ A3 ของท่าเทียบเรือแหลมฉบัง และท่าเทียบเรือในโครงการท่าเทียบ
เหลือแหลมฉบัง  ขั้นที่ 2  ฯ   ที่เหลือเป็นโครงการเดียวจะสูงกว่าผลตอบแทนทางการเงินเมื่อเทียบกับกรณี
การแยกท่าเทียบเรือแต่ละท่าเป็นโครงการย่อย    ประกอบกับการรวมท่าเทียบเรือเป็นโครงการเดียวจะทำ
ให้การบริหารจัดการท่าเทียบเรือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการขนถ่ายสินค้า และทำให้เกิดการประหยัด
ในขนาด  (Economy of Scale)  ทั้งด้านเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าดอกเบี้ยจ่าย  ทั้งนี้
ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วย ดังนี้  ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เร่งดำเนินการคัดเลือกเอกชนลงทุนก่อสร้าง  บริการ  และประกอบการท่าเทียบเรือดังกล่าวตามขั้นตอนใน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ  พ.ศ. 2535    ให้แล้วเสร็จ
และดำเนินการต่อไปโดยเร็ว  เพื่อให้ท่าเทียบเรือดังกล่าวแล้วเสร็จทันต่อการรองรับการขยายตัวทางเศรษฐ
กิจและการขนส่งสินค้าทางทะเลที่มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต นอกจากนี้ในการคัดเลือก ควร
พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดเลือก  โดยไม่ถือเอาผลประโยชน์ตอบแทนเป็นตัวเงินสูงสุดที่เอกชนจะ
เสนอแก่ภาครัฐเป็นเงื่อนไขหลักในการพิจารณาคัดเลือกเพียงประการเดียว เนื่องจากการเสนอผลตอบแทน
เป็นตัวเงินสูงสุดอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการและการคิดค่าบริการจากผู้ใช้บริการท่าเทียบ
เรือโดยรวม ซึ่งในที่สุดจะส่งผลกระทบไปถึงประชาชนส่วนรวม  ตลอดจนขีดความสามารถในการแข่งขันของ
ประเทศ แต่ควรให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและประสบการณ์ของเอกชนนั้น ๆ ด้วย โดยควรคัดเลือกเอกชน ฯ
ที่มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการท่าเทียบเรือ  มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันในระดับโลก  (World Class)
และสามารถเสนอแผนการดำเนินงานบริหารจัดการท่าเทียบเรือที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
โดยรวม ประกอบกันไปด้วย