ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 1093 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project จำนวน ๒๓ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๑.๕ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๔ พันล้านบาท โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดลงจากโครงการทั้งหมด เท่ากับ ๙๙,๘๗๐ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ กิจกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project ก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ แบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ (๑) การผลิตพลังงาน และ (๒) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างฝ่ายไทยและฝ่ายญี่ปุ่น จำนวน ๓ ครั้ง โดยที่ประชุมมีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานรับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก จำนวน ๖ วิธี พร้อมทั้งรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการ จำนวน ๔ ราย และขึ้นทะเบียนโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน ๑ โครงการ ๓. การจัดการอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น จำนวน ๑๑ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๗๒๘ คน และได้เข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ JCM จำนวน ๕ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการ จำนวน ๔ โครงการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
302 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) (ประจำเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2561) | ดศ | 13/03/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) (ประจำเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ได้มีการดำเนินการร่วมกับ ๒๐ กระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น (๑) การดำเนินนโยบายการจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาว์ดคอมพิวติ้ง (Cloud Computing) (๒) การประชุมเชิงปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาว์ดคอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ และ (๓) การนำข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดำเนินการเป็นโครงการนำร่อง เป็นต้น ๑.๒ ศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) มีสถิติการใช้บริการและสถานภาพการดำเนินงานในระยะแรก (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑) เช่น (๑) ข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (Government Service Information) จำนวน ๙๓๔,๐๐๐ ครั้ง (๒) การเชื่อมโยงข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open Government Data) จำนวน ๘๕๐,๐๐๐ ครั้ง (๓) ศูนย์กลางแอปพลิเคชันภาครัฐ (Government Application Center) จำนวน ๖๖๖,๐๐๐ ครั้ง (๔) เว็บไซต์กลางบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (Thailand e-Government Portal) จำนวน ๕,๓๒๐,๐๐๐ ครั้ง (๕) ข้อมูลการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (Thailand Government Spending) จำนวน ๓๒๖,๐๐๐ ครั้ง และ (๖) ข้อมูลสถิติและสารสนเทศภาครัฐ (National Statistics) สามารถเข้าถึงข้อมูลสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติผ่าน GovChannel ได้แล้ว เป็นต้น ๑.๓ การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบในหลักการกรอบ (ร่าง) ยุทธศาสตร์การพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ และ (ร่าง) มาตรฐานบริการศูนย์ข้อมูลภาครัฐ รวมถึงให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ดำเนินการสำรวจการพัฒนาศูนย์ข้อมูลของหน่วยงานในทุกกระทรวง และหน่วยงานตามประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง รายชื่อหน่วยงานหรือองค์กร หรือส่วนงานของหน่วยงานหรือองค์กรที่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ให้แล้วเสร็จ และสามารถให้บริการประชาชนและส่วนราชการได้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
303 | มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและชุมชน | กก | 06/02/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและชุมชน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการด้านอุปสงค์ของการท่องเที่ยว (Demand Side) ประกอบด้วย (๑) Enjoy Local คือ การส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวเข้าเมืองรองด้วยบัตร TAT Plus ผ่านระบบออนไลน์ในการใช้จ่ายและท่องเที่ยวในเมืองรองและชุมชน (๒) SET In the Local กระตุ้นกลุ่มตลาด MICE จัดประชุม สัมมนา และกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ในเมืองรองและชุมชนในวันธรรมดา (๓) Local Link มุ่งเน้นความร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวหรือตัวแทนจำหน่ายให้ได้รับสิทธิพิเศษ (๔) Eat Local คือ การส่งเสริมอาหารถิ่น ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น ชักจูงนักชิมผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายให้เกิดความต่อเนื่อง (๕) Our Local คือ การสร้างสรรค์กิจกรรมในชุมชนบนพื้นฐานวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ (๖) Local Heros คือ กิจกรรม Mobile Clinic เพื่อการพัฒนาคน เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนจากองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้ชุมชนเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในอนาคต และ (๗) Local Strong คือ การบูรณาการภาครัฐและภาคเอกชนสร้างความเข้มแข็งในห่วงโซ่อุปทานและสินค้าพร้อมขาย พัฒนา Creative Tourism และสนับสนุนผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ๑.๒ การดำเนินการด้านอุปทานของการท่องเที่ยว (Supply Side) โดยดำเนินการจัดทำมาตรการ โครงการ เพื่อให้สอดคล้องต่อการขับเคลื่อนของภาครัฐในเป้าหมายของการกระจายรายได้สู่เมืองรองและชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ และกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ๒. ในส่วนของโครงการจัดตั้งศูนย์ประชุมนานาชาติเพื่อรองรับกิจกรรมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions : MICE) ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความจำเป็นและความเหมาะสมของการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ชัดเจนก่อน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการการดำเนินการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองและชุมชนให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับการดำเนินการขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) รวมทั้งให้พิจารณาส่งเสริมการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้เหมาะสมและเป็นที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นด้วย เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าชายเลน การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ป่าในเมือง กิจกรรมที่เน้นให้เยาวชนมีโอกาสเรียนรู้วิธีการดำรงชีพในป่า การสร้างการมีส่วนร่วมจากมัคคุเทศก์น้อยในชุมชน การกำหนดกิจกรรมเพิ่มเติมที่นักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมหรือสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ระหว่างการเดินทางเชื่อมโยงจากแหล่งท่องเที่ยวพื้นที่เป้าหมายแต่ละแห่ง เป็นต้น ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติในกรณีที่ประสบภัยที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครองของการทำประกันภัยเดินทาง โดยให้พิจารณาใช้จ่ายจากเงินกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามความจำเป็นและเหมาะสมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทย เช่น กรณีที่เข้าพักในที่พักสัมผัสวัฒนธรรม หรือโฮมสเตย์ (Homestay) เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
304 | การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน | มท | 30/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๑/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๑ แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีกลไกคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศฯ ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ ระดับจังหวัด/กทม. ระดับอำเภอ/เขต และทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบล เพื่อบูรณาการกลไกการขับเคลื่อน บูรณาการชุดความรู้ แผนงาน/โครงการ และงบประมาณ ลงไปในพื้นที่เป้าหมาย ๑.๒ กระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในกรอบแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการฯ และเพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับส่วนกลาง จังหวัด อำเภอ และตำบล ๑.๓ การดำเนินงานโครงการฯ ในระยะต่อไป จะกำหนดประชุมหารือเพื่อวางกรอบแนวทางการปฏิบัติงานตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล และกำหนดจัดประชุมมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในระดับจังหวัดและระดับอำเภอ ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ๒. ให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และสนับสนุนกลไกในการปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกระดับ โดยในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คำนึงถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจ อำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน และงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรด้วย ๓. ให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานของรัฐในระดับพื้นที่ รวมทั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรบูรณาการการทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานและเพื่อให้โครงการดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินงานในภาพรวม รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ด้วย ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลต่าง ๆ ภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน กับการดำเนินการในเรื่อง Big Data ด้วย เพื่อให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานของรัฐสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
305 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร12 | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดแนวทางการกำหนดเครื่องแบบขององค์การมหาชนไว้เพื่อให้เครื่องแบบของทุกองค์การมหาชนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
306 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การจัดการน้ำเสีย พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อโอนย้ายองค์การจัดการน้ำเสียไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาฯ แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย เพื่อให้การบูรณาการงานด้านการจัดการน้ำเสียเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้องค์การจัดการน้ำเสียรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๐ ที่กำหนดให้องค์การจัดการน้ำเสียซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจทบทวนปรับสถานภาพให้เป็นองค์การมหาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
307 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทาง มาตรการในการดำเนินการ หรือการเจรจาความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าไทยของต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (การยางแห่งประเทศไทย) เร่งรัดการดำเนินการรวบรวมปริมาณความต้องการใช้ยางพาราของส่วนราชการให้ครบถ้วนภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ และดำเนินการต่อไปให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ๑.๓ ให้กระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าที่หลีกเสี่ยงภาษี เช่น กากถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม หรือสินค้าที่ผิดกฎหมายเข้าประเทศตามแนวชายแดน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ให้หน่วยงานต้นสังกัดดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาดด้วย ๒. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมและจูงใจให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาต่างประเทศในประเทศไทยเลือกไปสอนที่โรงเรียนในต่างจังหวัด ซึ่งขาดแคลนครูชาวต่างชาติทั้งในสายสามัญศึกษาและสายอาชีวศึกษา ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรครูชาวไทยในต่างประเทศให้มีความรู้ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] เป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของทุกหน่วยงานเพื่อจัดทำเป็นภาพรวมและแผนการขับเคลื่อนและการใช้ประโยชน์เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐภายใน ๓ เดือน และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน นั้น เพื่อให้การจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงให้ดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยให้ดำเนินการ (๑) เชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนหรือจากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการ และ (๒) ติดตามและเร่งรัดการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือน ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสถิติแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย ๓.๑.๒ ให้ทุกส่วนราชการที่เป็นเจ้าของข้อมูลรับผิดชอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความเป็นปัจจุบันของข้อมูล โดยให้ความสำคัญกับการจัดกลุ่มข้อมูลเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ ข้อมูลที่เป็นการให้บริการประชาชน และข้อมูลที่เป็นเรื่องความมั่นคงหรือเรื่องที่มีชั้นความลับ ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการรายงานความคืบหน้าในการจัดทำแผนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินและการพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุนต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน นั้น ๓.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยให้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคมเพื่อร่วมดำเนินการด้วย และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน ๓.๒.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศลงทุนในโครงการก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินในจุดต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับจอดรถยนต์และช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่มีรถยนต์และประชาชนสัญจรเป็นจำนวนมาก เช่น ศูนย์การค้า สถานีรถไฟฟ้า สถานที่ราชการ สถานศึกษา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
308 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ขององค์การมหาชน จำนวน 2 แห่ง | นร12 | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ฉบับที่ .. พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับกรณีที่องค์การมหาชนทั้ง ๒ แห่ง มีการจัดซื้อจัดจ้างเกี่ยวกับพัสดุ จะต้องนำพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... มาถือปฏิบัติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรกำหนดแนวทางการกำหนดเครื่องแบบขององค์การมหาชนเพื่อให้การกำหนดเครื่องแบบของทุกองค์การมหาชนเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
309 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร12 | 16/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้องค์การมหาชนรายงานผลการดำเนินงานที่แสดงให้เห็นถึงการบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือทางสังคมที่เป็นผลลัพธ์ขององค์กร และรับทราบรายงานการประเมินสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายงานผลการประเมินองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ จำนวน ๑๕ แห่ง มีค่าคะแนนเฉลี่ยในภาพรวม ๔.๒๙๙๕ คะแนน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย (ค่าคะแนนมากกว่า ๓.๐๐ คะแนนขึ้นไป) (และลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนซึ่งคะแนนอยู่ที่ ๔.๓๓๙๘ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า องค์การมหาชนควรกำหนดตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมาย วิสัยทัศน์ ภารกิจ และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งองค์กร บริบทสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นวัตกรรม การแข่งขันทางธุรกิจ เป็นต้น รวมถึงควรสะท้อนถึงผลลัพธ์และผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม ให้ชัดเจนด้วย ๒. รายงานการประเมิน สกสค. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผลคะแนนโดยรวมของ สกสค. อยู่ที่ระดับคะแนน ๓.๔๕๘๑ ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (ระดับคะแนน ๓.๐ คะแนน) และมีค่าคะแนนสูงกว่าผลการประเมินเฉลี่ยย้อนหลัง ๓ ปีเล็กน้อย (ค่าเฉลี่ยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เท่ากับ ๓.๓๗๕๗ คะแนน) ทั้งนี้ กพม. มีข้อสังเกตว่า สกสค. ควรมอบหน่วยงานภายในหรือแต่งตั้งคณะทำงานรับผิดชอบการดำเนินการตามตัวชี้วัดเพื่อผลักดันให้มีการดำเนินการตามตัวชี้วัดเกิดเป็นรูปธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
310 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการการส่งเสริมการลงทุนให้แก่ภาคเอกชนในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสำหรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยในการจัดหาพื้นที่เพื่อการดังกล่าวให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คำนึงถึงประเด็นด้านความมั่นคงด้วย นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว ให้มีการจัดระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ให้เหมาะสมด้วย รวมทั้งให้คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในพื้นที่โดยรอบด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น หากมีประเด็นปัญหาเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดทำความร่วมมือในด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) กับสาธารณรัฐประชาชนจีนให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนในกิจการที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีความพร้อมดำเนินการและไทยมีขีดความสามารถที่จะพัฒนาได้ เช่น การตั้งโรงงานผลิตแอลกอฮอล์บริสุทธิ์เพื่อนำไปใช้ในทางการแพทย์ อุตสาหกรรมต่อเรือ เทคโนโลยีอวกาศ ๑.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับทะเบียนรายชื่อผู้รับรางวัลจากการแข่งขันระดับชาติและระดับนานาชาติประเภทต่าง ๆ และปรับปรุงฐานข้อมูลของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถที่จะขับเคลื่อนประเทศให้มีความก้าวหน้าต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดดำเนินการสนับสนุนผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันต่าง ๆ เช่น การให้ทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ ความเชี่ยวชาญและความสามารถในด้านต่าง ๆ นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยจัดทำฐานข้อมูลในภาพรวมให้เป็นปัจจุบันและกำหนดมาตรการในการสนับสนุนผู้ที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขัน เช่น การเปิดโอกาสให้เข้ามาทำงานในภาคราชการหรือภาคเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อนำความรู้ความสามารถมาใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ขับเคลื่อนการดำเนินงานในเรื่องการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และศูนย์บริการร่วม ณ จุดเดียว (One Stop Service) ให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลภาครัฐ (Government Data Center) โดยประสานหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ นำข้อมูลที่พร้อมให้บริการมาดำเนินการเป็นโครงการนำร่องให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๐ และข้อสั่งการที่ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์ Big Data ของทุกหน่วยงานจัดทำเป็นภาพรวมและแผนการขับเคลื่อนและการใช้ประโยชน์เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการฐานข้อมูลกลางภาครัฐภายใน ๓ เดือน นั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกเดือนด้วย ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) โดยเฉพาะพื้นที่ที่แนวเขตที่ดินได้ข้อยุติแล้ว เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้ นั้น ให้กระทรวงยุติธรรมเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๓ ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศการเฝ้าระวังปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ว่ามีความเป็นไปได้ว่าในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๖๑ ปริมาณฝนในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทยมีโอกาสร้อยละ ๕๐-๗๐ จะสูงกว่าปกติ นั้น เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขเหตุอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และจัดเตรียมแผนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ที่คาดว่าอาจได้รับผลกระทบจากปริมาณฝน รวมตลอดถึงการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รองรับ เช่น การขยายหรือขุดลอกคูคลองที่เป็นทางระบายน้ำ และการจัดทำแก้มลิงเพิ่มเติม ทั้งนี้ ในการจ้างแรงงานเพื่อดำเนินการดังกล่าว ให้พิจารณาเปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของการกำหนดสัดส่วนของค่าปรับที่หน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายได้รับจากการกระทำผิดกฎหมายแล้วหักไว้เพื่อเป็นค่าตอบแทนของพนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของหน่วยงาน ก่อนนำส่วนที่เหลือส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ทั้งนี้ หากผลการพิจารณาเป็นประการใด ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
311 | รายงานผลการดำเนินงานของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานที่สำคัญของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่ง สบร. ได้จัดให้มีระบบการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ภูมิปัญญาของประชาชนผ่านการเรียนรู้ที่ทันสมัย โดยดำเนินการ (๑) การขับเคลื่อนการเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ (๒) การขยายผลต้นแบบแหล่งเรียนรู้ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ (๓) ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยความคิดสร้างสรรค์ และ (๔) การบูรณาการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ สำหรับแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สบร. มีเป้าหมายในการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ โดยการส่งเสริมและพัฒนาความรู้ให้แก่ประชาชนผ่านสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ โดยจะดำเนินการให้ครอบคลุมพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งขยายแนวคิดการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยให้แก่ผู้ปกครอง ครูผู้ดูแลเด็กและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
312 | รายงานผลการขับเคลื่อนแนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 | มท | 12/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนแนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยมี ๒๐ กระทรวง ๙ หน่วยงาน (ไม่สังกัดกระทรวง) ได้แจ้งรายชื่อเอกสารที่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต้องการใช้ในการให้บริการประชาชน ซึ่งเอกสารที่หน่วยงานขอเชื่อมโยงตั้งแต่ ๑๒ หน่วยงานขึ้นไป เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หนังสือเดินทาง หนังสือรับรองนิติบุคคล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของฐานข้อมูลเร่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน ๑ ปี นับจากวันที่ได้รับแจ้งรายชื่อฐานข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การขับเคลื่อนแนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐในส่วนที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีให้แล้วเสร็จก่อน และนำฐานข้อมูลที่บูรณาการแล้วดังกล่าวมาใช้ในการอำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกและให้บริการของภาครัฐดังกล่าวให้ชัดเจนและทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
313 | ร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... | ดศ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการองค์การมหาชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างระเบียบฯ บางประการ รวมทั้งแก้ไขหลักเกณฑ์การสรรหาประธานกรรมการและกรรมการในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อมิให้ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
314 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยอาจสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใช้งานศูนย์บริการต่าง ๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับแล้ว นั้น ในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นการปฏิรูป ให้ทุกส่วนราชการประสานงานกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะดำเนินการต่อไป เพื่อให้การดำเนินการของส่วนราชการมีความสอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการให้ประสานหารือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนที่จะดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม [สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลและสถิติที่สำคัญของแต่ละหน่วยงานให้เป็นระบบ ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจ (มูลค่าการค้าการลงทุน มูลค่าการส่งออก ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ) ข้อมูลแรงงาน (กำลังแรงงานภาคเกษตรกรรม/อุตสาหกรรม ความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมแต่ละภาค) โดยพิจารณาจัดทำข้อมูลดังกล่าว เป็น ๒ ประเภท คือ (๑) ข้อมูลเพื่อการบริหารราชการสำหรับให้ส่วนราชการต่าง ๆ นำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ (๒) ข้อมูลสำหรับให้บริการประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว รวมถึงเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้รับทราบถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๑ ให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการระบายน้ำที่สำคัญ เช่น การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพิ่มเติม นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยอาจพิจารณาจัดทำในลักษณะต่อยอดหรือขยายผลจากแนวทางที่ดำเนินการอยู่ เช่น แก้มลิงพวง โดยทำเส้นทางระบายน้ำที่มีระยะทางสั้น ๆ เพื่อระบายน้ำไปยังพื้นที่กักเก็บน้ำจุดต่าง ๆ ๒.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาการจราจรในบริเวณต่าง ๆ ที่มักประสบปัญหาการจราจรติดขัดอยู่เป็นประจำ โดยให้พิจารณารูปแบบในการดำเนินการให้เหมาะสมและมีทัศนียภาพที่ดี เช่น การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอด ทางยกระดับ เพื่อให้สามารถระบายความหนาแน่นของการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดปริมาณรถติดสะสม ทั้งนี้ ให้เร่งรัดจัดทำแผนดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ๒.๕ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ออกแบบการจัดวางผังเมืองในพื้นที่ชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอกของพื้นที่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้เหมาะสมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงการจัดวางผังเมืองของประเทศในระยะต่อไป ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน ๒.๖ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการขนาดเล็กในพื้นที่ต่าง ๆ โดยให้นำยางพารามาใช้ในการสร้าง/ซ่อมถนนในชุมชน และให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหม (กรมการทหารช่าง) เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการดังกล่าว โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน นั้น ๒.๖.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้เริ่มดำเนินการกับถนนในท้องถิ่นที่มีสภาพการใช้งานที่ไม่ต้องรับน้ำหนักบรรทุกมากเป็นลำดับแรก ๒.๖.๒ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการพิจารณากำหนดมาตรฐานการใช้ยางพาราในการสร้างถนนในสัดส่วนที่มากกว่าที่กำหนดอยู่ในปัจจุบัน (มากกว่าร้อยละ ๕) เพื่อส่งเสริมให้มีการนำยางพารามาใช้ให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
315 | มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 | ดศ | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงาน เช่น (๑) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑๓/๒๕๖๐ เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๐ เพื่อแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ รวม ๗ ท่าน (๒) การประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ (๓) ผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมวลชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐเพื่อความมั่นคง (๔) แนวทางการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการดาวเทียม ตามมาตรา ๖๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ (๕) ความคืบหน้าของการดำเนินการกรณีดาวเทียมไทยคม ๗ และไทยคม ๘ เป็นต้น ๒. พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์อวกาศแห่งชาติ ปี ๒๕๖๐-๒๕๗๙ โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์ฯ และนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พิจารณาภายในวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ก่อนนำเสนอประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ๒.๒ เห็นชอบในหลักการการดำเนินงานดาวเทียมสื่อสารของภาครัฐ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการประสานงานกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ.กสท.) เพื่อจัดทำรายละเอียดของโครงการ โดยมีทางเลือก (๑) บมจ.กสท. เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชน โดยการเช่าใช้โครงข่ายดาวเทียมจากภาคเอกชน และนำความจุส่วนที่ใช้งานต่างประเทศขายส่งให้กับ Reseller และนำความจุส่วนที่ใช้งานในประเทศไทยมาใช้ตามโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ (๒) บมจ.กสท. เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) และ (๓) บริษัทเอกชนจัดสร้างโครงข่ายดาวเทียม ซึ่ง บมจ.กสท. จะจัดหาความจุส่วนที่ใช้งานในประเทศไทยมาใช้ตามโครงการดาวเทียมสื่อสารภาครัฐ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
316 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ในช่วงปี พ.ศ. 2555 - 2560 | นร | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) (สคช.) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐ โดย สคช. ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพ เช่น กำหนดหลักเกณฑ์พร้อมให้การรับรององค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ จัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ พัฒนาระบบฐานข้อมูลการให้บริการระบบคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อให้เป็นศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับระบบคุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานอาชีพ ทบทวนกรอบคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อเทียบเคียงกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) สู่กรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) และสร้างความร่วมมือกับภาคการศึกษาในการนำระบบคุณวุฒิวิชาชีพไปใช้ เป็นต้น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับการบริหารราชการ สคช. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
317 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างวันที่ ๑-๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การพบปะหารือกับ Sir. Mark Walport (Chief Executive Designate of UK Research and Innovation : UKRI) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การร่วมมือกันในด้านการวิจัยและพัฒนาในสาขาที่ทั้งสองประเทศมีความเชี่ยวชาญ และ (๒) การผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร ๒. การพบปะหารือกับ Ms. Frederique Vidal (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมของฝรั่งเศส) ฝ่ายไทยได้แสดงความสนใจต่อโครงการการแลกเปลี่ยนนักเรียนและนักวิจัยระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intention : LOI) มีเนื้อหาเกี่ยวกับความตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอเรื่องความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งฝ่ายไทย โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จะพิจารณาและดำเนินการต่อไป ๓. การเข้าร่วมประชุมประจำปี STS forum ครั้งที่ ๑๔ [The 14th Meeting on Science and Technology in Society (STS) forum] นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวถึงความเชื่อมั่นต่อการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมบรรยายและนำเสนอมุมมองในการประชุม “Concurrent Session : Bridging Science and Technology with Society and Politics” โดยกล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมและการเมือง และการให้วิสัยทัศน์ต่อนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของนักการเมือง เป็นต้น ๔. การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T Minister’s Roundtable Meeting) โดยมีหัวข้อหลักการประชุม ได้แก่ “บทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสังคมแห่งอนาคต-สังคม ที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” [The Role of Science, Technology and Innovation (STI) for Future Society-Human-Centered Society to be Reallzed through Society 5.0] ๕. การพบปะหารือกับผู้บริหารของธนาคาร Sumitomo Mitsui Banking Corp. (SMBC) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและคณะได้พบปะหารือกับบริษัทเอกชนด้านอาหารและยาขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และได้เชิญชวนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ Food Innopolis และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of innovation : EECi) ของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
318 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... | นร | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (กสศ.) เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศ ตามที่สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้ สบร. รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรใช้ชื่อร่างระเบียบฯ ว่า "ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ...." และเพิ่มเติมให้ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ศสบ.) ในฐานะที่เป็นสำนักงานเลขานุการของ กสศ. ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของคณะกรรมการ ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่คณะกรรมการมอบหมาย รวมทั้งควรกำหนดให้ชัดเจนว่าเมื่อการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (สศส.) แล้วเสร็จ ให้อำนาจหน้าที่ของ ศสบ. สบร. ตามร่างระเบียบฯ เป็นของ สศส. นอกจากนี้ควรเพิ่มเติมเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กสศ. ในร่างข้อ ๙ ว่าควรเพิ่มเติมให้การกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์มีความสอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ระยะ ๕ ปี และตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาประเทศในระยะยาว และให้ กสศ. มีหน้าที่ ในการติดตามประเมินผลภาพรวมของการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศด้วย ๒.๒ ข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ว่า ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ (๘) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อการแต่งตั้ง กสศ. เท่านั้น ซึ่งในการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ (๘) ดังกล่าว นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗) ได้เคยมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว กรณีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินและฟื้นฟูพัฒนาอาชีพเกษตรกรและผู้ยากจน พ.ศ. .... ว่า การออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ (๘) ดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นการออกระเบียบเพื่อวางระเบียบปฏิบัติราชการของส่วนราชการ แต่ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินและฟื้นฟูพัฒนาอาชีพเกษตรกรและผู้ยากจนฯ มิได้มีสาระสำคัญในการวางระเบียบปฏิบัติราชการ แต่เป็นการออกระเบียบเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการฯ จึงไม่สามารถกระทำได้ ดังนั้น เมื่อร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ฯ มีสาระสำคัญเป็นเพียงการแต่งตั้งคณะกรรมการฯ จึงไม่สามารถกระทำได้ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
319 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๓๔๙ หน่วยงาน จาก ๘,๔๑๑ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๒๖ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ดังนี้ (๑) หน่วยงานภาครัฐต้องนำส่งงบการเงินให้กรมบัญชีกลางเพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมของภาครัฐให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ (๒) ควรให้มีการบูรณาการการบริหารสินทรัพย์และเงินลงทุนของกลุ่มส่วนราชการ (๓) ควรจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้สอดคล้องกับฐานะการเงินขององค์การมหาชนและหน่วยงานอิสระ (๔) ควรให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกำหนดแนวทางการบริหารเงินฝากธนาคารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และ (๕) ควรมีการเพิ่มการใช้จ่ายของ อปท. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างถูกต้อง ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งบันทึกและส่งข้อมูลงบการเงินภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้การบันทึกและส่งข้อมูลรายงานการเงินประจำปีเป็นเกณฑ์การประเมินของผู้บริหารระดับหน่วยงานนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด ๓. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีหน่วยงานที่มีรายได้เงินงบประมาณมากกว่าที่มีการใช้จ่ายจริง หรือมีเงินสะสมคงเหลือ เห็นควรพิจารณานำเงินดังกล่าวมาใช้จ่ายในลำดับแรก หรือสมทบกับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงความจำเป็น ความคุ้มค่า และความเหมาะสม เพื่อให้เม็ดเงินได้กระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเป็นการแบ่งเบาภาระทางการคลังของประเทศ รวมทั้งควรเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การบริหารจัดการด้านการเงินการคลังของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
320 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า | พณ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๗ มกราคม ๒๕๖๐) เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี และสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้องได้หารือแนวทางการจัดทำระเบียบการใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่าและตราสัญลักษณ์กลางสำหรับประทับรับรอง ซึ่งระเบียบดังกล่าวระบุให้สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ เป็นหน่วยงานกลาง โดยผู้ผลิตจะต้องขอจดทะเบียนตราผู้ผลิตและผู้จำหน่ายตามที่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ กำหนด และการประทับตราชุดตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานจะประกอบด้วยตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ๓ ตราประทับ คือ ตราสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ ตรารับรองชนิดและความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า และตราผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย โดยจะประทับตราลงบนตำแหน่งบริเวณเนื้อโลหะของเครื่องประดับโลหะมีค่าชนิดนั้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
.....