ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 6180 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 123594 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
201 | การเตรียมการรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติของประเทศไทย | นร. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๘ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคเหนือและกรุงเทพมหานครรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างมาก
รวมทั้งได้เกิดเหตุการณ์อาคารสูงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเขตจตุจักรพังถล่มลงมา
ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอาสาสมัครจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
และต่างประเทศได้บูรณาการการทำงานร่วมกัน และระดมสรรพกำลังที่มีในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ
ของประเทศที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงขอมอบหมายดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งดำเนินการจัดทำแผนและมาตรการการป้องกันภัยพิบัติต่าง
ๆ โดยให้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบและขั้นตอนการปฏิบัติต่าง ๆ (Flowchart) ของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าวสามารถดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจได้อย่างถูกต้องและสอดดล้องกัน
แล้วให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายใน ๑ เดือน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
เร่งประสานการดำเนินงานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเพื่อให้สามารถส่งข้อความแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ชัดเจน ถูกต้อง และรวดเร็วมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
โดยขอให้ใช้ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน “Virtual
Cell Broadcast” บนอุปกรณ์โทรศัพท์ทุกรูปแบบได้ไปพลางก่อนในระหว่างการรอระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน
“Cell Broadcast Service” ที่กำหนดจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกรกฎาคมนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้การเตือนภัยต่อสาธารณชนทั้งที่เป็นภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว
อุทกภัย ดินโคลนถล่ม และอุบัติภัยอื่น ๆ เช่น ไฟไหม้ อุบัติเหตุทางการจราจรและขนส่ง
รวมตลอดถึงภัยจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cyber Crime) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
เร่งกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติในการติดตาม
ตรวจสอบสภาพความมั่นคงของโครงสร้างอาคารสูงทุกอาคารให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย
รวมทั้งออกใบรับรอง (Certificate) ที่ประชาชนสามารถรับรู้และตรวจสอบได้
เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานต่อไป รวมทั้งให้ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม
กรุงเทพมหานคร หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดมาตรฐานและข้อกำหนดในการออกแบบก่อสร้างอาคารให้มีความมั่นคง
แข็งแรง ปลอดภัย สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ๔.
ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่าง
ๆ ที่มีความพร้อมด้านการเตือนภัยภัยพิบัติและมีแนวปฏิบัติที่ดี เช่น ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศนิวซีแลนด์ มาร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทย
เพื่อให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยด่วน ๕.
ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการเตรียมการรับมือด้านการให้บริการทางการแพทย์ กรณีเกิดอุบัติภัยต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพียงพอ
และเท่าทันสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการจัดแพทย์ฉุกเฉิน
เตียงสนาม อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการจัดจิตแพทย์เพื่อให้การดูแลฟื้นฟูจิตใจผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยต่าง
ๆ ดังกล่าวด้วย ๖.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการเกิดอุบัติภัย
รวมทั้งการแจ้งเตือนและแผนรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้แก่นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทยให้ถูกต้อง ชัดเจน
และรวดเร็วด้วย ๗. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งระดมนักวิชาการทางด้านธรณีวิทยา
เพื่อรวบรวมข้อมูลและจัดทำข้อเสนอแนะในมาตรการรับมือและป้องกันภัยพิบัติที่ถูกต้องและรัดกุม
รวมถึงการตรวจสอบระบบอุปกรณ์เตือนภัยพิบัติต่าง ๆ
ที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอด้วย ๘. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำหลักสูตร/คู่มือการรับมือกับภัยธรรมชาติและอุบัติภัยต่าง
ๆ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนและเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับนักเรียน/นักศึกษาทุกระดับชั้นต่อไป ๙.
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขเส้นทางคมนาคมทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ
ให้มีความพร้อมใช้งาน เพื่อสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติโดยเร็ว
รวมถึงให้ตรวจสอบงานก่อสร้างขนาดใหญ่ในความรับผิดชอบให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย
และสามารถรองรับภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย ๑๐. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เร่งประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมมาตรการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ให้ถูกต้อง
ครบถ้วน แล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๑๑. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและทั่วถึง
โดยให้เผยแพร่ต่อไปยังช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ให้รวดเร็วและครบถ้วน ทั้งทางโทรทัศน์
วิทยุ แพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Facebook หรือ LINE Application รวมทั้งให้ประสานขอความร่วมมือจากภาคเอกชนที่มีป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
ตามแต่กรณีด้วย ๑๒. ให้คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง
ซึ่งแต่งตั้งโดยรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการก่อสร้างอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แล้วเสร็จภายใน
๗ วัน โดยหากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
202 | ขออนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการ (เพิ่มเติม) | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการ
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒
ที่ยังมิได้รับเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลัง (เพิ่มเติม) จำนวน ๔ ราย รายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะกรรมการพิจารณาบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้
(ก.บ.จ.ต.) เพื่อสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะได้เสนอขออนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และส่งให้กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)
ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยนำหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงิน “เงินทดแทนการประกันชีวิต”
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๕๐ มาบังคับใช้โดยอนุโลม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการตามกฎ ระเบียบ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อความรอบคอบในการดำเนินการต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
203 | การแจ้งผลการตรวจสอบรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 และการตรวจสอบการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | สตง. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
204 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... | มท. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
ในท้องที่ตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
ในท้องที่ตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ ๒๗ ตารางวา
เพื่อใช้เป็นที่ตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลพระยืน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
205 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ ไตรมาสที่ 1 | นร.07 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ณ ไตรมาสที่ ๑ โดยภาพรวมผลการเบิกจ่ายและผลการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศ
วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน ๓,๗๕๒,๗๐๐.๐๐ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน
๑,๑๖๑,๐๕๑.๕๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๐.๙๔ และมีผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน
๑,๒๖๙,๔๔๗.๓๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๘๓ ทั้งนี้ จากรายงานในภาพรวมพบว่า
ผลการเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวมสูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณ
ตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ อย่างไรก็ดี
หน่วยรับงบประมาณบางหน่วยยังมีผลการปฏิบัติงานล่าช้ากว่าเป้าหมายและแผนที่กำหนด
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
206 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๑.
รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับโครงการอำนวยการศูนย์ราชการสะดวก ๒. ให้ความเห็นชอบข้อเสนอในการขับเคลื่อนศูนย์ราชการสะดวกในระยะต่อไป
ดังนี้ ๒.๑
การกำหนดนโยบายให้การพัฒนาการให้บริการประชาชนตามมาตรฐานศูนย์ราชการสะดวก (Government Easy Contact Center : GECC) เป็นนโยบายสำคัญของทุกหน่วยงานของรัฐที่มีงานบริการประชาชน ๒.๒
มอบหมายให้ทุกหน่วยงานนำมาตรฐาน GECC ไปพัฒนาปรับปรุงเป็นมาตรฐานการให้บริการประชาชนที่สอดคล้องเหมาะสมตามภารกิจ
เช่น
มาตรฐานการให้บริการประชาชนด้านสุขภาพมาตรฐานการให้บริการประชาชนด้านการพัฒนาสังคม
มาตรฐานการให้บริการประชาชนด้านการพัฒนาเศรษฐกิจเนื่องจากการให้บริการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมและขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศทั้งเศรษฐกิจและสังคม ๒.๓ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาผลักดันการดำเนินการของศูนย์ราชการสะดวกให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อยกระดับการบริการประชาชนให้มีความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย
รวมถึงสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้
ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรขยายผลต้นแบบและต่อยอดการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชนมากยิ่งขึ้น
สำหรับหน่วยงานที่ยังไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานดังกล่าว
ให้เร่งนำหลักเกณฑ์การประเมินไปพัฒนาปรับปรุง
เพื่อยกระดับการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนต่อไป สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้บริการดิจิทัลผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
207 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 5/2567 | 01/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
208 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2568 | นร.04 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๘ ณ จังหวัดนครพนม และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๒ (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร) ระหว่างวันจันทร์ที่ ๒๘ - วันอังคารที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๘
และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
209 | ขอความเห็นชอบสวัสดิการค่าเช่าบ้านของผู้ปฏิบัติงานองค์การเภสัชกรรม | สธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบสวัสดิการค่าเช่าบ้านผู้ปฏิบัติงานขององค์การเภสัชกรรม
ดังนี้ (๑) ลูกจ้าง (ลูกจ้างประจำและลูกจ้างชั่วคราว) และพนักงานระดับ ๑ - ๓
อัตราเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท (๒) พนักงานระดับ ๔ - ๕ อัตราเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท และ (๓) พนักงานระดับ ๖ - ๑๑ อัตราเท่าที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกินเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุข (องค์การเภสัชกรรม)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐประกอบด้วย
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาให้ความสำคัญกับการกำกับติดตามการเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การจัดสวัสดิการค่าเช่าบ้านเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
มีความโปร่งใสและไม่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนในหน่วยงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
210 | แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (2567-2573) | ทส. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
211 | ร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ให้แก่นางมี รักเสมอวงศ์ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568) | ปสส. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๘
ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะในท้องที่ตำบลดงเย็น
อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ให้แก่นางมี รักเสมอวงศ์ พ.ศ. ....
ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
212 | ร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส | พณ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกฯ
ดังกล่าว โดยร่างบันทึกฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจในสาขาความร่วมมือด้านต่าง
ๆ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการร่วมฯ ทำหน้าที่ส่งเสริมและประสานความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ
ประกอบกับการลงนามในร่างบันทึกฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุนระหว่างไทยกับเบลารุส
โดยเฉพาะในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพและเป็นประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามและประเมินความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
213 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ มีสาระสำคัญครอบคลุมผลการดำเนินงานของ
๓ องค์กรสำคัญ ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ เช่น คณะอนุกรรมการพิจารณาส่งคำอุทธรณ์และดำเนินการเรื่องร้องเรียนได้รับเรื่องร้องเรียนการไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๓ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ จำนวน ๗๐๖ เรื่อง และพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน
๔๙๙ เรื่อง (๒) คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ได้ให้ผู้อุทธรณ์และผู้แทนหน่วยงานของรัฐเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วจัดทำคำวินิจฉัย
โดยพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน ๒๑๗ เรื่อง (จาก ๖๕๙ เรื่อง) และ (๓)
สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เช่น
จัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยมีหน่วยงานของรัฐในท้องถิ่นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
จำนวน ๖๗๐ หน่วยงาน จากกลุ่มเป้าหมาย ๑,๒๐๐ หน่วยงาน ตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
214 | การกำหนดให้วันกล้วยไม้แห่งชาติเป็นวันสำคัญของชาติ | กษ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ ๑๘
มกราคมของทุกปี เป็นวันกล้วยไม้แห่งชาติ โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอและให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
ที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ “วันกล้วยไม้แห่งชาติ”
ดังกล่าว ให้แก่หน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงประชาชนและเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้ทราบ
เพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์กลัวยไม้ไทยให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
215 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และให้สำนักงบประมาณนำการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑)
ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
มาตรา ๗๗ วรรคสอง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
216 | การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน
๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ
เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น รวมทั้งสิ้นปีละ ๑๖๙,๙๕๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม
ชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
และกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดมีการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา
พร้อมรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อนำมาประกอบการจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไป
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนครูสอนศาสนาของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลาม
สถาบันศึกษาปอเนาะ และศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) ใน ๕
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของครูสอนทุกกลุ่มให้เป็นอัตราเดียวกัน
เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันระหว่างครูสอนศาสนากลุ่มต่าง ๆ และปรับเพิ่มค่าบริหารจัดการโดยคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม
ซึ่งการใช้จ่ายค่าบริหารจัดการส่วนใหญ่ยังคงเป็นค่าอุปโภคบริโภค
ค่าบริหารจัดการสำนักงาน ค่าใช้จ่ายสำหรับลงทะเบียนผู้เรียน
และค่าใช้จ่ายในการออกหลักฐานการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร และอาจปรับเพิ่มอัตราค่าบริหารจัดการให้โรงเรียนเอกชนนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามทุกประเภทให้ได้รับจัดสรรในอัตราสูงสุดที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อบรรเทาความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรเงินอุดหนุน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
217 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน
ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑
รวมทั้งสิ้น ๓๐,๕๙๕ ครั้ง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๑๑,๒๓๗ เรื่อง
คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๓๔ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นมากที่สุด
(๑,๖๑๖ เรื่อง) ๒.
การประมวลผลและวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น ในใตรมาสที่ ๑
ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ มีสถิติเรื่องร้องทุกข์ ๑๔,๕๓๐ เรื่อง น้อยกว่าไตรมาสที่
๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๒,๕๒๐ เรื่อง (มีเรื่องร้องทุกข์ ๑๗,๐๕๐ เรื่อง)
โดยประเด็นเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุดคือ
เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน (๑,๕๑๐ เรื่อง ดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ๑,๓๗๑ เรื่อง) ๓.
ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน เช่น
หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องควรบูรณาการแก้ไขปัญหา ทั้งการป้องกัน
ปราบปราม และช่วยเหลือเยียวยา โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกิดขึ้นบ่อย เช่น ผู้สูงอายุ พระสงฆ์
รวมทั้งเร่งรัดปราบปรามผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
และจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางในการวิเคราะห์รูปแบบการหลอกลวงที่มิจฉาชีพใช้บ่อยเพื่อสร้างระบบการป้องกัน
และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนการหลอกลวงในทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
218 | (ร่าง) แผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566-2570) | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๔ (ด้านพลังงาน อุตสาหกรรม และการพัฒนาคุณภาพชีวิต) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) เป็นประธานกรรมการ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อเป็นกรอบแนวทางและการกำหนดมาตรการพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการสำหรับประเทศไทยที่ครอบคลุมและมีคุณภาพในทุกมิติ
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงแผนฯ ตามความเห็นของหน่วยงาน ดังนี้
๑.๑ ควรเพิ่มเติมประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ในแต่ละแนวทาง ดังนี้ ๑.๑.๑
การลดโอกาสที่คนพิการจะหลุดออกจากระบบการศึกษา
โดยเฉพาะในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากประถมศึกษาสู่มัธยมศึกษาตอนต้น ๑.๑.๒
การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน เช่น การจัดทำแผน IEP สำหรับขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์ สื่อ
และเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนคนพิการในทุกสังกัด
การนำผลการทดสอบระดับเชาว์ปัญญามาเชื่อมโยงกับการจัดรูปแบบการศึกษาของคนพิการในระดับการศึกษาต่าง
ๆ การพัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นต้น ๑.๑.๓
การสร้างโอกาสในการเข้าสู่ตลาดงาน เช่น การแนะแนวอาชีพแก่นักเรียนพิการ
การสร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการเพื่อสร้างโอกาสการฝึกงานและทำงานจริง
การส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรมและสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินงานโดยคนพิการหรือจ้างงานคนพิการ
เป็นต้น ๑.๑.๔
การปรับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและสถานที่ทำงาน เช่น ทางลาด สภาพห้องน้ำ
ให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตของคนพิการ เป็นต้น ๑.๑.๕ การส่งเสริมให้คนพิการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองและการพัฒนาสังคม
เช่น การส่งเสริมการให้ความรู้เรื่องสิทธิของคนพิการ
การสนับสนุนให้คนพิการมีสิทธิเลือกในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง อาทิ การศึกษา
การทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน การมีความร่วมมือขององค์กรคนพิการกับภาคส่วนต่าง ๆ
การสนับสนุนให้คนพิการเข้าร่วมกระบวนการกำหนดนโยบาย เป็นต้น
๑.๒ ควรมีการกำหนดค่าเป้าหมายของตัวชี้วัดในแต่ละปีให้ชัดเจนพร้อมกำหนดค่าฐาน
(base
line) ในการคำนวณ
โดยเฉพาะตัวชี้วัดภาพรวมของแผนที่กำหนดค่าเพียงเพิ่มขึ้น
และตัวชี้วัดรายยุทธศาสตร์ที่กำหนดค่าเป้าหมายว่า “มี”
พร้อมทั้งเพิ่มเติมตัวชี้วัดเชิงผลลัพธ์ อาทิ (๑) ตัวชี้วัดที่สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของการศึกษาคนพิการในระดับต่าง
ๆ (๒) อัตราการเข้าสู่ตลาดงานหลังมีการ upskill/reskill (๓)
คุณภาพของสถานศึกษาคนพิการทั้งในด้านสัดส่วนครู หลักสูตร/สื่อการเรียน
เทคโนโลยีในการสนับสนุนการเรียนการสอน การทำแผน IEP สภาพแวดล้อมทางกายภาพ
บริการช่วยเหลือต่าง ๆ ๒.
กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาให้มีการจัดทำแผนการศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มเด็กเปราะบางและด้อยโอกาสในทุกกลุ่ม
อาทิ กลุ่มเด็กกำพร้า กลุ่มเด็กในครัวเรือนยากจนนอกจากกลุ่มเด็กพิการ
โดยพิจารณาใช้กลไกของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในการเสาะแสวงหาและช่วยเหลือสนับสนุนผ่านการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทยเพื่อให้แผนการจัดการศึกษาครอบคลุมเด็กทุกคนอย่างเสมอภาค |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
219 | โครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2572 | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ รวมระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๓๔๐,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเริ่มดำเนินโครงการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจัดให้มีระบบการติดตาม
และประเมินผลการดำเนินโครงการเป็นระยะ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการแนะแนวอาชีพที่เหมาะสมและการเรียนต่อในสาขาที่สอดคล้องกับความถนัดและเชื่อมโยงกับการพัฒนาในพื้นที่
และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการพัฒนากระบวนการติดตามนักเรียนทุนที่อยู่ระหว่างรับทุนจากปัจจัยต่าง
ๆ เพื่อการคงอยู่ในระบบทุน อาทิ ความสามารถทางวิชาการ
แรงจูงใจในการศึกษาด้านการเกษตร และความตั้งใจที่จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่น
รวมทั้งการมีกลไกการบริหารจัดการร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านต่าง
ๆ อาทิ การจัดเก็บข้อมูล การกำกับติดตามผลการเรียน
การประเมินความคุ้มค่าการดำเนินโครงการ และการจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดโควตาการจัดสรรทุนให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรในพื้นที่
และความต้องการแรงงานในและนอกภาคเกษตรในอนาคต เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
220 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน | พน. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเป้าหมายสำหรับรอบเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๘ ไม่เกินหน่วยละ
๓.๙๙ บาท ของกระทรวงพลังงาน ๒. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางให้อัตราค่าไฟฟ้าเป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว
รวมทั้งศึกษาและเสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานและแนวทางการบริหารต้นทุนการผลิตไฟฟ้า
โดยไม่ต้องขอรับการอุดหนุนงบประมาณจากภาครัฐ
แล้วให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติก่อนดำเนินการต่อไป |