ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 321 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (24 เมษายน 2555) เกี่ยวกับการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ ในกรณีที่มีระยะเวลาเช่าน้อยกว่า 5 ปี | นร.12 | 21/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ในการเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการน้อยกว่า ๕ ปี เป็นกรณีเฉพาะราย
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ โดยให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖
แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐผลผลิตพัฒนาองค์กรให้มีขีดสมรรถสูง
รายการค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง ๒ คัน (ตำแหน่งรองเลขาธิการ ก.พ.ร.)
ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ในอัตราค่าเช่า ๓๕,๒๘๐ บาทต่อคันต่อเดือน
และขอให้สำนักงานพัฒนาระบบราชการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๖๘ ให้สอดคล้องกับวงเงินตามสัญญาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ (เรื่อง
การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ)
ที่ให้ร่วมกันพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะ ความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย
และแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ
เกี่ยวกับการเช่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในภารกิจของหน่วยงานของรัฐ
ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 322 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ครั้งที่ 1 | กค. | 21/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ครั้งที่ ๑ ตามมติที่ประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๙
มกราคม ๒๕๖๖ ดังนี้ (๑) อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ครั้งที่ ๑ ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่ม ๘๑,๒๔๒.๘๙ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ปรับเพิ่ม ๘๒๕.๓๑
ล้านบาท รวมทั้งเห็นควรให้หน่วยงานที่บรรจุกรอบวงเงินกู้ภายใต้แผนฯ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ เร่งรัดการดำเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวด้วย
โดยกำหนดเป็นตัวชี้วัดในการประเมินหน่วยงานที่รับผิดชอบ
และให้มีกระบวนการพิจารณาตัวชี้วัดของการดำเนินโครงการที่สำคัญ อนุมัติการบรรจุโครงการพัฒนา
โครงการ และรายการเพิ่มในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ครั้งที่ ๑ จำนวน
๑๙ โครงการ/รายการ และรับทราบการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ครั้งที่ ๑
ได้แก่ แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับลด ๖,๒๘๒.๕๑ ล้านบาท และ (๒) อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่
การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ
รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจ เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา
และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๖
ปรับปรุงครั้งที่ ๑ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน
เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน
การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง
ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะและกระทรวงการคลังเสนอ
และให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรกำกับ
ติดตาม
และเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนดไว้และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรมีแนวทางในการจัดหารายได้เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ที่ชัดเจน
เพื่อเสริมสร้างให้ฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีความเข้มแข็ง
สามารถบรรเทาผลกระทบของราคาพลังงานที่อาจมีความผันผวนมากขึ้นได้
โดยในระยะต่อไปเมื่อเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งและแรงกดดันต่อค่าครองชีพของประชาชนเริ่มคลี่คลายลงแล้ว
รัฐบาลควรพิจารณาทยอยลดการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อลดความเสี่ยงต่อฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและเสริมสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว
รวมถึงยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ
(energy efficiency)
และสอดคล้องกับการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) ของไทยในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 323 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ. .... | กก. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ
เรื่อง
การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางอากาศ
ช่องทางบกและช่องทางน้ำ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
ดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการตรวจลงตราและกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ออกตามพระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒
โดยกำหนดให้ใช้หลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นเอกสารประกอบการอนุญาตเข้าเมืองและผู้ตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตเข้าเมือง ๓.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น
ควรมีการพิจารณาประสิทธิภาพการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามร่างประกาศฯ เป็นระยะ
โดยคำนึงถึงภาระของภาคเอกชน การบริหารจัดการ และความสะดวกของผู้เดินทาง
พร้อมจัดทำรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามและทบทวนปรับแนวทางได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทย ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้วย ควรมีการกำหนดแนวทางและแผนการใช้จ่ายประโยชน์จากค่าธรรมเนียมให้มีความชัดเจน
เพื่อให้การใช้เงินค่าธรรมเนียมเกิดประโยชน์ต่อภาคการท่องเที่ยวสูงสุด
ควรเตรียมความพร้อมและดำเนินการทดสอบระบบการรับชำระเงินค่าธรรมเนียมและการเชื่อมโยงข้อมูลกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 324 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย | คค. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย
และเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทย โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจดังกล่าวต่อไป
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
โดยผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงและเพิ่มเติมสิทธิการบินระหว่างไทยและซาอุดีอาระเบีย
ในประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑)
ปรับปรุงใบพิกัดเส้นทางการบินจากเดิมแบบกำหนดจุดเป็นพิกัดเส้นทางบินแบบเปิด (๒)
เพิ่มสิทธิการทำการบินจากเดิม ๙ เที่ยวบิน/สัปดาห์ เป็น ๔๒ เที่ยวบิน/สัปดาห์
เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่ไม่เข้าข่ายตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสองและวรรคสาม
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 325 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2565 | ทส. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๕/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๕
จำนวน ๕ เรื่อง ประกอบด้วย (๑) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพระนครใต้ (ส่วนเพิ่ม)
ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
ของกรมชลประทาน และโครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง
ของกรมทางหลวง (๒) (ร่าง) แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
โดยเป็นแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมต่อเนื่องจากแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.
๒๕๖๐-๒๕๖๕ ที่ได้หมดระยะเวลาการใช้ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ (๓) แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งมีโครงการภายใต้แผนการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการพิจารณา
เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการขยะมูลฝอย (ระยะที่ ๓) จังหวัดสุโขทัย
และโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี (๔)
โครงการพัฒนาศักยภาพสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด
เพื่อพัฒนาแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับจังหวัด ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(องค์การมหาชน) และ (๕) การปรับปรุงมาตรฐานค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซไฮโดรคาร์บอนจากท่อไอเสียของรถจักรยานยนต์
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 326 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขระเบียบสำนักนากยรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๑
เพื่อปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติและแก้ไขลักษณะและคุณสมบัติต้องห้ามและเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดังกล่าว
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่เห็นควรใช้ “เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” แทน “เลขาธิการ กสทช.”
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นว่า
หากมีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้สงสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๘
แล้วเสร็จ ควรยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติต่อไป
เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนระหว่างหน้าที่และอำนาจ
รวมทั้งองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติกับคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 327 | การปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค. | 07/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างอัตราเงินเดือนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
โดยขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงเฉพาะระดับตำแหน่งที่เกินกว่า ๑๑๓,๕๒๐ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ดังนี้ (๑) ระดับ ๘ ผู้อำนวยการกอง จาก ๙๙,๙๗๐
บาท เป็น ๑๒๐,๒๗๐ บาท (๒) ระดับ ๙ ผู้อำนวยการฝ่าย จาก ๑๐๘,๘๑๐ บาท เป็น ๑๓๓,๗๗๐ บาท (๓) ระดับ ๑๐
ผู้ช่วยผู้ว่าการ จาก ๑๑๑,๑๖๐ บาท เป็น ๑๓๘,๒๗๐ บาท และ (๔) ระดับ ๑๑ รองผู้ว่าการ จาก ๑๑๓,๕๒๐
บาท เป็น ๑๔๒,๘๓๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมและการทางพิเศษแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและผลดำเนินงานของหน่วยงานอย่างรอบคอบ
มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
กำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนดังกล่าว เช่น กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และสามารถเพิ่มรายได้และชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 328 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 | สธ. | 31/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา
พ.ศ.๒๕๑๐ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงรายการและอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๒๖ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐
ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับกฎหมาย และการดำเนินงานในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าเมื่อออกกฎกระทรวงที่เป็นประโยชน์ต่อผู้รับอนุญาต
ควรให้มีมาตรการในการควบคุมราคาเภสัชภัณฑ์เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเภสัชภัณฑ์ในราคาที่สมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาสำหรับสัตว์ ซึ่งถือเป็นต้นทุนในการผลิตปศุสัตว์ ควรเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยพัฒนาตำรับยาและเป็นการต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาใหม่เชิงอุตสาหกรรมในประเทศต่อไป
และควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติยา
พ.ศ. ๒๕๑๐ ดังกล่าว ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 329 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 14 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The 14th IMT-GT Summit) | นร.11 สศช | 31/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ
ครั้งที่ ๑๔ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย [The 14th IMT-GT (Indonesia-Malaysia-Thailand
Growth Triangle) Summit] เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ
ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมฯ
และเห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยตามแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับความก้าวหน้า ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
และทิศทางการดำเนินงานในอนาคตของแผน IMT-GT ได้แก่ (๑)
ความคืบหน้าโครงการความเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Projects
: PCPs) มีมูลค่าการลงทุนกว่า ๕๗,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๒.๑
ล้านล้านบาท) โดยประเทศไทยมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการและมีความคืบหน้า เช่น โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก
แห่งใหม่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส-เมืองเปิงกาลันกุโบร์ รัฐกลันตัน (๒)
ความคืบหน้าการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือต่าง ๆ เช่น การลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum
of Understanding : MOU)
โครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง มูลค่าการลงทุนประมาณ ๑,๖๐๐
ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีจังหวัดสงขลาเข้าร่วมโครงการ และการเสริมสร้างศักยภาพที่เกี่ยวข้องกับการรับรองและการลงทะเบียนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ฮาลาล
และ (๓) ผู้นำแผนงาน IMT-GT ได้ร่วมกันรับรอง IB 2022-2026
ซึ่งเป็นกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายภายใต้วิสัยทัศน์ พ.ศ. ๒๕๗๙
และเห็นชอบการเฉลิมฉลองครบรอบ ๓๐ ปี แผนงาน IMT-GT ในปี ๒๕๖๖
และกิจกรรมต่าง ๆ ในปีแห่งการท่องเที่ยว IMT-GT พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๖๘ (IMT-GT Visit Year 2023-2025) นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ
เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๔ แผนงาน IMT-GT โดยไม่มีการปรับปรุงสาระเพิ่มเติม และเห็นชอบ IB 2022-2026 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงคมนาคม เช่น ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 330 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2564 | พม. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามมติคณะกรรมการผู้สูงอายุ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายต่อไป
โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญ เช่น สถานการณ์ผู้สูงอายุของโลกและสถานการณ์ในประเทศไทย
สถานการณ์ผู้สูงอายุกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ปี ๒๕๖๔
การปรับตัวและการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงอายุในช่วงโควิด-๑๙
การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในไทย งานวิจัยเพื่อสังคมผู้สูงอายุ
และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่า
ในประเด็นข้อเสนอการมุ่งพัฒนาระบบบำนาญให้ครอบคลุมผู้สูงอายุอย่างถ้วนหน้า
รวมทั้งการปรับปรุงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้เหมาะสมกับค่าครองชีพหรือภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ควรคำนึงถึงภาระผูกพันงบประมาณในอนาคตอันเนื่องมาจากการปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและแนวทางเพื่อลดภาระผูกพันงบประมาณดังกล่าว
ให้ความสำคัญเรื่องการสูงวัยในถิ่นเดิม นอกเหนือจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะด้านร่างกายและจิตใจ
ควรมุ่งเน้นด้านระบบการบริหารจัดการ การดูแลและช่วยเหลือผู้สูงอายุ
และให้ถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 331 | แนวทางการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) | กค. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท
อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน)
และเห็นชอบมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการเสนอโครงการฯ
เป็นโครงการอุตสาหกรรมอาเซียน เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมในการลงทุนในโครงการฯ
ในสัดส่วนของรัฐบาลไทย การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับ Basic Agreement ซึ่งรวมถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐบาล
และแหล่งเงินหากมีความจำเป็นต้องชำระค่าหุ้นสามัญเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 332 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติการปฏิบัติการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อความร่วมมือในการปรับปรุงการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. 2560 รวม 2 ฉบับ | กค. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้มีหน้าที่รายงานรวบรวม
และนำส่งข้อมูลที่ต้องการรายงานให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รายงานในการรวบรวมข้อมูลที่ต้องรายงานและนำส่งข้อมูลดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
ตลอดจนหน้าที่ในการจัดเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ ๑.๒
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการขอหนังสือรับรองสถานะว่าเป็นหรือไม่เป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
พ.ศ. ..... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นขอหนังสือรับรองสถานะของการเป็นหรือไม่เป็นผู้มีหน้าที่รายงาน
กรอบระยะเวลาในการยื่นคำขอ ช่องทางการดำเนินการ ตลอดจนขั้นตอนการพิจารณารับรองสถานะของผู้มีหน้าที่รายงาน รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นควรปรับแก้ข้อ
๒ ของร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขให้ผู้มีหน้าที่รายงานรวบรวมและนำส่งข้อมูลที่ต้องการรายงานให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
พ.ศ. .... เป็น “ข้อ ๒
ให้ผู้มีหน้าที่รายงานมีหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลบัญชีสหรัฐที่ต้องรายงานทุกประเภทบัญชี
โดยแต่ละบัญชีต้องมีรายการครบถ้วนตามข้อ ๒ อนุวรรค ๒ ก) ของความตกลง...” เพื่อให้สอดคล้องกับความตกลง FATCA ฉบับภาษาอังกฤษ และควรมีการประสานกับผู้มีหน้าที่รายงานเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของกฎหมายและการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ
เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าควรมีการประสานกับผู้มีหน้าที่รายงานเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับความเหมาะสมของกฎหมายและการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ
เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 333 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้ท่อนและไม้แปรรูปเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องมีหนังสือรับรอง และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง ในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 17/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้ไม้ท่อนและไม้แปรรูปเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องมีหนังสือรับรอง
และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง
ในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการในการนำเข้าไม้ท่อนและไม้แปรรูปตามบัญชีท้ายร่างประกาศฯ
รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์จากไม้ดังกล่าวผ่านด่านศุลกากรในเขตจังหวัดกาญจนบุรี
จังหวัดตาก และจังหวัดแม่ฮ่องสอน
และยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๙๒)
พ.ศ. ๒๕๓๕ และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องการนำไม้และไม้แปรรูป
รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยไม้เข้ามาในราชอาณาจักร
ตามแนวชายแดนจังหวัดตาก และจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการตรวจร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรขอความอนุเคราะห์กรมการค้าต่างประเทศจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กรมป่าไม้และกรมศุลกากร เพื่อพิจารณากำหนดรหัสสถิติใหม่โดยหลักเกณฑ์การกำหนดรหัสสถิติสินค้าที่ต้องมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของสินค้านั้น
ๆ ว่ายังคงมีการค้าอยู่ในปัจจุบันหรือไม่มากน้อยเพียงใด และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ
เห็นสมควรอ้างถึงเพียงมาตรา ๕(๑) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าฯ
และตัดการอ้างถึงมาตรา ๕ (๖) ออก
เนื่องจากมิได้เป็นการกำหนดมาตรการอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้า
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 334 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 17/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป
และไม้ล้อมบางชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง
ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการการส่งออกโดยกำหนดให้
๑) ไม้ท่อน (ไม้ฟืน ไม้เสาเข็ม และไม่เสารั้ว) ไม้แปรรูป (ไม้ซีก ไม้หมอนรถไฟหรือรถราง
และไม้ปาร์เกต์) และไม้ล้อมบางชนิด (ต้นจำปีป่า ต้นประดู่ และต้นจันทร์หอม)
เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต ๒) สิ่งประดิษฐ์ของไม้ (ตู้ เตียง เก้าอี้)
และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง ๓) ให้ไม้พะยูง (ไม้พะยูงท่อน
ไม้พะยูงแปรรูป ไม้พะยูงล้อม และสิ่งประดิษฐ์ที่ทำจากไม้พะยูง)
เป็นสินค้าห้ามส่งออกไปนอกราชอาณาจักร และ ๔) ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ รวม ๒
ฉบับ ได้แก่ ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งถ่านไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ.
๒๕๔๙ ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๙ และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่เห็นควรขอความอนุเคราะห์กรมการค้าต่างประเทศจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กรมป่าไม้ และกรมศุลกากร เพื่อพิจารณากำหนดรหัสสถิติใหม่
โดยหลักเกณฑ์การกำหนดรหัสสถิติต้องมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของสินค้านั้น ๆ
ว่ายังคงมีการค้าอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และควรอ้างถึงมาตรา ๕ (๑)
(๒) และ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าฯ
และตัดการอ้างถึงมาตรา ๕ (๖) ออก
เนื่องจากมิได้เป็นการกำหนดมาตรการอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออก
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นควรขอความอนุเคราะห์กรมการค้าต่างประเทศจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กรมป่าไม้ และกรมศุลกากร เพื่อพิจารณากำหนดรหัสสถิติใหม่
โดยหลักเกณฑ์การกำหนดรหัสสถิติต้องมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของสินค้านั้น ๆ
ว่ายังคงมีการค้าอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และพิจารณาซักซ้อมความเข้าใจล่วงหน้ากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศเพื่อนบ้านที่รับผิดชอบเรื่องการนำเข้าและส่งออก
ก่อนประกาศมีผลบังคับใช้ เพื่อให้มีการปรับตัว
และสามารถปฏิบัติตามมาตรการใหม่อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 335 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลลำพะยา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา พ.ศ. .... | กษ. | 17/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้ไม้ท่อนและไม้แปรรูปเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องมีหนังสือรับรอง
และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง
ในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการในการนำเข้าไม้ท่อนและไม้แปรรูปตามบัญชีท้ายร่างประกาศฯ
รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์จากไม้ดังกล่าวผ่านด่านศุลกากรในเขตจังหวัดกาญจนบุรี
จังหวัดตาก และจังหวัดแม่ฮ่องสอน
และยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๙๒)
พ.ศ. ๒๕๓๕ และประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องการนำไม้และไม้แปรรูป
รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยไม้เข้ามาในราชอาณาจักร
ตามแนวชายแดนจังหวัดตาก และจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการตรวจร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรขอความอนุเคราะห์กรมการค้าต่างประเทศจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กรมป่าไม้และกรมศุลกากร เพื่อพิจารณากำหนดรหัสสถิติใหม่โดยหลักเกณฑ์การกำหนดรหัสสถิติสินค้าที่ต้องมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศของสินค้านั้น
ๆ ว่ายังคงมีการค้าอยู่ในปัจจุบันหรือไม่มากน้อยเพียงใด และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ
เห็นสมควรอ้างถึงเพียงมาตรา ๕(๑) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าฯ
และตัดการอ้างถึงมาตรา ๕ (๖) ออก
เนื่องจากมิได้เป็นการกำหนดมาตรการอื่นใดเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการนำเข้า
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 336 | การจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร กรณีกองทุนประกันชีวิต และกองทุนประกันวินาศภัย | นร.12 | 10/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจำแนกให้กองทุนประกันชีวิต และกองทุนประกันวินาศภัยเป็นหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารประเภทกองทุนที่เป็นนิติบุคคล
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง
การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับฝ่ายบริหาร
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
สำนักงาน ก.พ.ร.
และคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรจะมีรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน ตามพระราชบัญญัติ หรือส่วนราชการ
เป็นหน่วยธุรการรองรับการทำหน้าที่รับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการบริหารกองทุน
และควรมีการกำหนดขั้นตอนการพิจารณา กรอบระยะเวลาดำเนินงาน
และหลักการจำแนกหน่วยงานให้มีความชัดเจน
เพื่อให้การดำเนินงานมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 337 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | นร.09 | 27/12/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและหน้าที่และอำนาจของสำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 338 | มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติและมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ | สช. | 27/12/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติและมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
โดยมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
เช่น การบูรณาการแรงงานข้ามชาติเข้าสู่นโยบายพัฒนาประเทศ
การพัฒนาหลักประกันสุขภาพที่มีเสถียรภาพครอบคลุมแรงงานข้ามชาติทุกกลุ่ม
โดยคำนึงถึงระยะเวลาในการพำนักอยู่ในไทย และการพัฒนาหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิครอบคลุมแรงงานข้ามชาติ
และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
เช่น การพัฒนาปรับปรุงมาตรการ หลักเกณฑ์
แนวปฏิบัติการรับรองการเกิดและมาตรการเชิงรุก
การจดทะเบียนครบขั้นตอนทันทีหลังการเกิดเพื่อรองรับสิทธิในสัญชาติ
และการปรับปรุงกฎหมาย และพัฒนาบริการสาธารณสุข
สิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาและออกแบบแหล่งที่มาของเงินสนับสนุนการคุ้มครองและส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิทางสุขภาพสำหรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว
โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินการคลังของประเทศ
และระดับความสามารถในการร่วมจ่ายเงินของนายจ้างและกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวตามสมควร ให้หน่วยรับประมาณที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
มาดำเนินการในโอกาสแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ควรคำนึงถึงการวางแนวทางรองรับผลกระทบที่อาจมีต่อความเสี่ยงทางการคลังของประเทศในระยะยาว
ควรมีการบูรณาการการทำงานและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เพื่อมิให้ขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ เช่น
กฎหมายว่าด้วยการกำหนดสัญชาติ
รวมทั้งควรมีการบูรณาการวางแผนการบริหารจัดการการเงินการคลังด้านสุขภาพภาครัฐให้มีความสมดุล
เพียงพอรองรับการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของกลุ่มคนดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมีความยั่งยืนในอนาคต มติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ
เช่น ประเด็น “การบูรณาการแรงงานข้ามชาติสู่นโยบายพัฒนาประเทศ”
ควรเน้นการวางแผนการจัดการและการบูรณาการในนโยบายพัฒนาประเทศ “ในระยะยาว ระยะกลาง
และระยะสั้น” ภายใต้บริบทที่สังคมไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น
และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยการเข้าถึงสิทธิด้านสุขภาพกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
เช่น ควรพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมกับกลุ่มเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ
รวมถึงระบบสนับสนุนการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 339 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 20/2565 | นร.11 สศช | 20/12/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๕
มีมติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ อาทิ
อนุมัติให้จังหวัดเชียงใหม่ยกเลิกการดำเนินโครงการขุดเจาะบ่อบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งบ้านแพะแม่คือ
หมู่ที่ ๑ ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
และอนุมัติให้กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ขยายระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการปรับปรุงพัฒนาแหล่งน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค
และการเกษตร จากเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๕ เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๖๕ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ข้อ ๑๙ และข้อ
๒๐ สำหรับโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังในโอกาสแรก
เพื่อให้การบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 340 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559 เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยุติการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์ | พน. | 20/12/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง โครงการไฟฟ้าพลังงานบ้านจันเดย์) เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยุติการดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำบ้านจันเดย์
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่เห็นควรกำกับการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนต่าง
ๆ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประทศไทย ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ให้จัดหาพลังงานไฟฟ้าทดแทนจากแหล่งพลังงานอื่นโดยเฉพาะที่มาจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อประโยชน์ต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
รวมทั้งเป็นไปและสอดคล้องกับนโยบาย BCG ของรัฐบาลต่อไป และควรยุติโครงการฯ ไว้ก่อน แต่ไม่ควรยกเลิกอย่างสิ้นเชิง
ในระหว่างนี้ให้ติดตามข้อมูลลงทุนความเหมาะสมของการพัฒนาโครงการฯ ในอนาคตต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาทบทวนการปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบัน โดยคำนึงถึงความจำเป็น ความคุ้มค่า
และความเหมาะสมทางเทคนิคที่จะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบและรัดกุมเพื่อให้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ มีความถูกต้อง ชัดเจน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
