ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 15 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 281 - 300 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 281 | กรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยกรอบแนวทางการประเมินของส่วนราชการ
กำหนดให้กระทรวงมีบทบาทหลักเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานของกระทรวงและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการระดับกระทรวง
สำหรับกรอบและแนวทางการประเมินของจังหวัดมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระดับชาติและนโยบายสำคัญของรัฐบาลเช่นเดียวกับส่วนราชการ
โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทหลักในการพิจารณาความเหมาะสม ตัวชี้วัด น้ำหนัก
และค่าเป้าหมาย รวมทั้งติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของจังหวัดผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการจังหวัด
ทั้งนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ในหัวข้อองค์ประกอบการประเมิน รอบระยะเวลาการประเมิน และกลไกการประเมิน
สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา
๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นการดำเนินการในลักษณะงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ไม่ได้เป็นการกำหนดนโยบายขึ้นใหม่
จึงไม่เป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนากยรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
และสำนักงาน ก.พ. และข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการศึกษาและทำความเข้าใจในบริบทของแต่ละส่วนราชการเพื่อนำมากำหนดเป็นตัวชี้วัดร่วมกันจะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้ ก.พ.ร. กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และกรอบเวลาในรอบการประเมินครั้งที่ ๑ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
เพื่อให้คะแนนการประเมินสามารถสะท้อนผลการดำเนินงานของหน่วยงานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
และเกี่ยวกับขั้นตอนการประเมินการดำเนินงานของส่วนราชการและจังหวัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพฯ
ซึ่งกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗
และโดยที่ผลการประเมินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการปฏิบัติราชการผู้บริหารของส่วนราชการ
ดังนั้น หากมีการเร่งรัดกระบวนการประเมินดังกล่าว
จะทำให้การดำเนินการมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติการผู้บริหารของส่วนราชการ
และกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ มากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 282 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับในวันที่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๗
เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
โดยกรมเจ้าท่ามีประเด็นข้อสังเกต ตามข้อ ๑๓ ของร่างประกาศฯ ดังกล่าว
กำหนดว่า “ในขั้นขออนุมัติหรือขออนุญาตโครงการ ก่อนการดำเนินโครงการ
หรือประกอบกิจการ รวมทั้งขั้นตอนการขยายขนาดของโครงการ หรือกิจการ
ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กรณี (ง) ท่าเทียบเรือทุกประเภทที่สามารถรับเรือขนาดตั้งแต่ ๑๐๐ ตันกรอส แต่ไม่ถึง
๕๐๐ ตันกรอส หรือมีความยาวหน้าท่าตั้งแต่ ๒๐ เมตร แต่ไม่ถึง ๑๐๐ เมตร
หรือมีพื้นที่ท่าเทียบเรือรวม ตั้งแต่ ๒๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๑,๐๐๐ ตารางเมตร ยกเว้นโครงการ กิจการ
หรือการดำเนินการเพื่อความมั่นคงแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
และ (จ) ท่าเทียบเรือสำราญและกีฬาที่รองรับได้ตั้งแต่ ๕ ลำ แต่ไม่ถึง ๕๐ ลำ
หรือมีพื้นที่ ตั้งแต่ ๑๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๑,๐๐๐
ตารางเมตร” ซึ่งเป็นการกระทบต่อภารกิจของกรมเจ้าท่าในการปลูกสร้างท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริม
และพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำและการพาณิชยนาวี
จึงให้ยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
กรณีเป็นโครงการปลูกสร้างท่าเทียบเรือของส่วนราชการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 283 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
รวมทั้งปรับปรุงบัญชีรายชื่อโบราณสถานทีได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่จะเรียกเก็บค่าเข้าชมได้
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเข้าชมสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเฉพาะบุคคลสัญชาติอื่นตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณานำเงินรายได้จากการจัดเก็บค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นดังกล่าวไปใช้เร่งรัดการพัฒนามาตรฐานและการอำนวยความสะดวกของโบราณสถานและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อาทิ การอำนวยความปลอดภัย การรักษาความสะอาด การพัฒนาห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว
และการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 284 | รายงานสรุปผลการดำเนินการคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย | นร.12 | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย
ระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔-มีนาคม ๒๕๖๖ โดยได้ประชุมทั้งสิ้น ๑๐ ครั้ง
เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสำคัญอันจะเป็นส่วนสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
และมีความคืบหน้าที่สำคัญ ได้แก่
การช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถเข้าถึงกลไกการแก้ไขหนี้สินได้ง่ายและเป็นธรรมยิ่งขึ้น
การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่สำคัญเพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem)
ที่เอื้อให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงกลไกการไกล่เกลี่ยหนี้สิน และกำกับให้ธุรกิจสินเชื่อให้ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบยิ่งขึ้น
และการเพิ่มเติมแหล่งสินเชื่อที่เป็นธรรมให้กับประชาชน ตามที่คณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 285 | การแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 (ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่น หรือในระดับต่ำลงไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ....) | ตช. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการในระดับกองบัญชาการหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ
โดยคงจำนวนส่วนราชการดังกล่าวไวว้เท่าเดิม จำนวน ๓๐ หน่วย
(ไม่มีส่วนราชการสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ
ซึ่งโอนไปเป็นส่วนราชการในพระองค์ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์
พ.ศ. ๒๕๖๐
และพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ.
๒๕๖๐) และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่น
หรือในระดับต่ำลงไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานย่างอื่น
หรือในระดับต่ำลงไป และกำหนดหน้าที่และอำนาจ
โดยคงจำนวนส่วนราชการดังกล่าวไว้จำนวนเท่าเดิม
และกำหนดเพิ่มเติมหน่วยงานที่มีระดับต่ำกว่ากองบังคับการ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าไม่ควรปรากฏ
“กองบังคับการตำรวจรถไฟ” ในร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๖๓ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่บัญญัติให้เมื่อครบหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ใช้บังคับ ให้กองบังคับการตำรวจรถไฟเป็นอันยุบ
แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ครบกำหนดระยะเวลา ๑ ปี ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าไม่มีการกำหนดตำแหน่งข้าราชการตำรวจเพิ่มขึ้น
จึงไม่กระทบต่ออัตรากำลังในภาพรวมและไม่กระทบต่องบประมาณด้านบุคลากร
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรพิจารณาการปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องตามภาระงานและความจำเป็น
และควรนำความเป็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕
มาพิจารณาเป็นแนวทางประกอบการปรับปรุงร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการฯ โดยกำหนดภารกิจ
หน้าที่และอำนาจของกรมเป็นหลัก และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการภายในกรมให้สอดคล้องโดยจเขียนเท่าที่จำเป็น
ไม่ลงรายละเอียด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 286 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความตกลง CPTPP ต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเกษตร ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา | สว. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความตกลง CPTPP ต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเกษตร
ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปได้ ดังนี้ ๑) ด้านโยบาย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการดำเนินการ เช่น การเตรียมการเร่งรัดและสนับสนุนงานวิจัยพื้นฐาน
พัฒนา การผลิต และการกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าว และเตรียมการจัดตั้งงบประมาณในปี ๒๕๖๗
เพื่อเร่งรัดการสร้างความเข้าใจบุคลากรและชาวนา
และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยได้มีการดำเนินการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มที่ประเทศไทยสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมมูลค่าเพิ่มที่เป็นที่ต้องการสูงในกลุ่มประเทศ
CPTPP ๒) ด้านการเตรียมความพร้อมเพื่อการเจรจา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมประชุมกับหน่วยงานภายในเพื่อจัดทำข้อสงวน
ข้อยืดหยุ่นและ/หรือระยะเวลาปรับตัวของไทยในการรับพันธกรณีความตกลง CPTPP ๓) ด้านการสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการผลิตและการค้าสินค้าเกษตร
ได้มีการเร่งรัดดำเนินการในหลายประเด็น เช่น จัดการระบบการผลิต
ส่งเสริมการจัดทำโซนนิ่งพืชปรับเปลี่ยนที่นาในภาคกลางเป็นพื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์โดยเบื้องต้นใช้พันธุ์ข้าว
กข๘๕ และ กข๘๗ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า
๔) ด้านการปรับปรุงทางกฎหมาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติความหลากหลายทางชีวภาพ
พ.ศ.... เพื่อให้เกิดกลไกการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน
และ ๕) ด้านการลงทุนที่ภาครัฐควรเร่งรัดให้การสนับสนุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำแผนเตรียมการเข้าสู่
CPTPP ในด้านการเพิ่มศักยภาพด้านวิจัยและพัฒนา
การสร้างธนาคารพันธุกรรม การผลิต การกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๕
และได้ดำเนินการจัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นตามกรอบข้อเสนอ ข้อสงวน ข้อยืดหยุ่น ระยะเวลาปรับตัวของไทยในการรับพันธกรณี
CPTPP ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(ประเด็นด้านพันธุ์พืช)
รวมทั้งได้เผยแพร่เพื่อรับฟังความเห็นบนเว็บไซต์ของกรมวิชาการเกษตรแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 287 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาปนิก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาปนิก
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งมีประเด็นข้อสังเกตฯ ดังนี้ (๑)
สภาสถาปนิกควรผลักดันให้ประเทศต้นทางมีหน้าที่ตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติตามกฎหมายของสถาปนิกจากประเทศของตน
และควรผลักดันให้มีการนำประเด็นเรื่องความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไปหารือและระบุไว้ในความตกลงระหว่างประเทศให้ชัดเจนด้วย
โดยสภาสถาปนิกจะดำเนินการผลักดันให้เกิดแนวปฏิบัติในกลุ่มประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศอื่น
ๆ โดยกำหนดให้ประเทศต้นทางมีหน้าที่ตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติตามกฎหมายของสถาปนิกจากประเทศของตนเพื่อประโยชน์ของประเทศสมาชิกในการดำเนินการให้เป็นไปตามความตกลง
(๒) คณะกรรมการจรรยาบรรณควรปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการจรรยาบรรณให้เหมาะสมโดยกำหนดกรอบระยะเวลาในการพิจารณาวินิจฉัยให้ชัดเจน
และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อรองรับภารกิจการดำเนินการเรื่องจรรยาบรรณด้วย
โดยสภาสถาปนิกจะดำเนินการปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการสภาสถาปนิก
ว่าด้วยการพิจารณาและวินิจฉัยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพสถาปัตยกรรมให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
และ (๓) สภาสถาปนิกควรพิจารณาปรับปรุงการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมโดยกำหนดให้ค่าธรรมเนียมการออกใบแทนใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการออกหลักฐานรับรองการได้รับใบอนุญาตมีอัตราที่แตกต่างกันและแยกตามระดับความสำคัญของเอกสาร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 288 | รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย ครั้งที่ 56 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน + 3 ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank : ADB) ครั้งที่
๕๖ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
และการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ สาธารณรัฐเกาหลี
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเข้าร่วมประชุม
สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) การประชุม AFMGM+3 ครั้งที่ ๒๖
มีสาระสำคัญ เช่น IMF คาดการณ์ว่าในปี ๒๕๖๖ เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ร้อยละ
๒.๘ และเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียจะขยายตัวที่ร้อยละ ๔.๖
โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน
การพัฒนากลไกการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแบบเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินได้มากขึ้น
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓ ได้เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม
AFMGM+3 ในรูปแบบแถลงการณ์ร่วมฯ โดยมีการปรับปรุงถ้อยคำเพื่อให้มีความเหมาะสมและสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
แต่ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ (๒) การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการ
ADB ครั้งที่ ๕๖ ผู้ว่าการของแต่ละประเทศสมาชิกใน ADB
ได้เรียกร้องให้ ADB
ให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-๑๙
ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และภาวะเงินเฟ้อ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการของไทยใน ADB ได้เสนอแนะให้ ADB ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน
(๓) การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน-ญี่ปุ่น
ในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอให้อาเซียน-ญี่ปุ่นขยายบทบาทและยกระดับความร่วมมือทางการเงินระหว่างกันให้ครอบคลุมประเด็นการใช้เทคโนโลยีทางการเงินและการเงินที่ยั่งยืน
และ (๔) งานเปิดตัวรายงาน เรื่อง “แนวทางการจัดหาเงินทุนใหม่ ๆ
เพื่อเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นในอาเซียน+๓” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการจัดทำนโยบายและมาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของไทย
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 289 | การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของหน่วยงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | นร.09 | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ๒
ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
โดยให้มีผลบังคับใช้เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 290 | ร่างกฎกระทรวงสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร พ.ศ. .... | ดศ. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงสำมะโนหรือสำรวจตัวอย่างการเกษตร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานสถิติแห่งชาติทำการสำรวจตัวอย่างการเกษตร
เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตรจากผู้ถือครองทำการเกษตรทั่วประเทศ
เพื่อให้มีชุดข้อมูลพื้นฐานด้านการเกษตรเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเพียงพอ
สำหรับการวางแผน เฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินผลการพัฒนาประเทศด้านการเกษตร
พัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรในภาคการเกษตร และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการกำหนดนโยบาย
มาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกร ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรปรับปรุงนิยาม “การเกษตร” และปรับถ้อยคำในร่างกฎกระทรวงฯ
บางประการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติสถิติ
พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้เหมาะสม ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเป็นไปตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วย เช่น การดำเนินการสำรวจข้อมูลต่าง ๆ
ควรนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้อง
ครบถ้วน รวดเร็ว
และสามารถประมวลผลข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายเรื่องต่าง ๆ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติควรเชื่อมโยงกับข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)
เพื่อให้มีข้อมูลที่ถูกต้อง ตรงกัน และเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ว่าควรประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำหรับนำข้อมูลมาใช้ร่วมกับสำมะโนเกษตรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 291 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | ทส. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนชื่อกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
เป็นกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ มกราคม ๒๕๔๗ เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการระดับ ๑๐
หรือระดับ ๑๑ กรณีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 292 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ครั้งที่ 2 | นร.11 สศช | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเทพมหานคร
โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย)
เข้าร่วมการประชุมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานร่วมในการประชุมฯ
กับรัฐมนตรีว่าการสำนักงานด้านการพัฒนาและเศรษฐกิจแห่งชาติ
แห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สรุปได้ ดังนี้ (๑)
รายงานของที่ประชุมอาเซียนว่าด้วยเรื่อง SDGs โดยหน่วยงานด้านการวางแผนพัฒนาระดับประเทศ ครั้งที่ ๓
ได้เน้นย้ำความเพียงพอของข้อมูลและการรายงานข้อมูลเพื่อใช้ตรวจสอบความก้าวหน้าในการขับเคลื่อน
SDGs
ส่งเสริมความสอดคล้องระหว่างนโยบาย/โครงการและความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับชาติ
ระดับภูมิภาค และระดับโลก เสนอให้มีความร่วมมือระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งเพื่อส่งเสริมการตระหนักถึงความสำคัญของ
SDGs และ (๒) ร่างขอบเขตการดำเนินงานของการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนว่าด้วยเรื่องการเร่งรัดการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุ
SDGs ครั้งที่ ๒
โดยมีการปรับปรุงรายละเอียดเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้นแต่ยังคงไว้ซึ่งสาระสำคัญตามที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่
๔ เมษายน ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 293 | สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564-31 มีนาคม 2566) | นร.04 | 13/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๔ (ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๖) สรุปได้ ดังนี้ (๑)
ผลการดำเนินงานตามนโยบายหลัก ๘ ด้าน ได้แก่
การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การสร้างความมั่นคง
ความปลอดภัยของประเทศและความสงบสุขของประเทศ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งของฐานราก การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และ (๒) นโยบายเร่งด่วน ๖ เรื่อง ได้แก่
การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม การยกระดับศักยภาพแรงงาน การเตรียมคนไทยเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑
การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 294 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 | ทส. | 06/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖ จำนวน ๓ เรื่อง ประกอบด้วย (๑)
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (จำนวน ๑๐ โครงการ) เช่น โครงการประตูระบายน้ำกรงปินัง
จังหวัดยะลา ของกรมชลประทาน โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง ๒ ของการเคหะแห่งชาติ
โครงการก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองน่าน ของกรมทางหลวง (๒) การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการหรือการดำเนินการ
ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมกำแพงติดแนวชายฝั่งทะเล
และ (๓) การยกระดับมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากฝุ่นละอองในช่วงสถานการณ์วิกฤต
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 295 | สรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ 4 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร.14 | 30/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง
ครั้งที่ ๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๔-๕ เมษายน ๒๕๖๖ ณ
เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
โดยมีเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยผลการประชุมต่าง ๆ ประกอบด้วย (๑)
การประชุมรัฐมนตรีร่วมกับประเทศคู่เจรจา หุ้นส่วนการพัฒนาและพันธมิตรอื่น ๆ
เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๔ (๒)
การหารือทวิภาคีระหว่างเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หัวหน้าคณะผู้แทนไทย
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าคณะผู้แทน สปป.ลาว
(๓) การประชุมของนายกรัฐมนตรีประเทศสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการ และ (๔)
การประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๔ (แบบเต็มคณะ) ซึ่งที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาเวียงจันทน์ ค.ศ. ๒๐๒๓ (ไม่ลงนาม)
โดยมีการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอของฝ่ายไทยที่ต้องการเน้นย้ำความสำคัญของการแบ่งปันข้อมูลการดำเนินโครงการใช้น้ำอย่างสม่ำเสมอและทันเวลา
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจจะเกิดจากการดำเนินโครงการดังกล่าว
รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมของลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 296 | ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 เรื่อง แนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม (การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา) | ยธ. | 30/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๐
เรื่อง
แนวทางการเตรียมบุคลากรก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
(การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา) มีสาระสำคัญเพื่อเป็นแนวทางการเตรียมบุคลากรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่
๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติและกระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่เห็นว่าการกำหนดให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมดำเนินการสนับสนุน
และส่งเสริมกิจกรรมหรือโครงการเสริมสร้างจิตสำนึก รักความยุติธรรมนั้น
กระทรวงยุติธรรมสามารถพิจารณากำหนด Joint KPIs ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานให้มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 297 | สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 23 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564-28 กุมภาพันธ์ 2566) | นร.04 | 23/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๓ (ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔-๒๘
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖) สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการดำเนินงานตามนโยบายหลัก ๗ ด้าน เช่น
การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม
การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และ
(๒) นโยบายเร่งด่วน ๗ เรื่อง เช่น การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน
การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การยกระดับศักยภาพแรงงาน การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต
คนไทยสู่ศตวรรษที่ ๒๑ การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน
ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 298 | รายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี 2565 | นร.11 สศช | 23/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ประจำปี ๒๕๖๕
สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการดำเนินการของแผนการปฏิรูปประเทศ ๑๓ ด้าน เช่น
ด้านการเมือง มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ
เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะ ด้านกฎหมาย
มีการผลักดันให้มีกลไกการออกกฎหมายเท่าที่จำเป็น ด้านเศรษฐกิจ
มีการกำหนดนโยบายและมาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ/นักลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทย
ด้านสังคม
มีการขึ้นทะเบียนคนพิการเพื่อให้ได้รับสิทธิสวัสดิการและความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง
และด้านสาธารณสุข มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขใน
๗๖ จังหวัด และกรุงเทพมหานคร (๒) ประเด็นท้าทายของการปฏิรูปประเทศ เช่น
การลดบทบาทภารกิจของภาครัฐให้เหลือเท่าที่จำเป็น
การพัฒนากำลังคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน การจัดระบบบริการสาธารณสุข
และการปรับปรุงกระบวนการปราบปรามการทุจริตที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และ (๓)
การดำเนินการต่อไปเพื่อให้ผลสัมฤทธิ์มีความยั่งยืนหลังจากสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ
เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
โดยมีผลจากการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของแผนระดับที่ ๒ แผนระดับที่ ๓
และการดำเนินการต่าง ๆ
ต่อไปและจะต้องให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้หลักการวงจรบริหารงานคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 299 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิและการเลือกข้าราชการพลเรือนเพื่อเป็นอนุกรรมการใน อ.ก.พ. สามัญ พ.ศ. .... | นร.10 | 09/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิและการเลือกข้าราชการพลเรือนเพื่อเป็นอนุกรรมการใน
อ.ก.พ. สามัญ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎ ก.พ.
ว่าด้วยการสรรหาทรงคุณวุฒิและการเลือกข้าราชการพลเรือนเพื่อเป็นอนุกรรมการใน
อ.ก.พ. สามัญ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้นำวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการเลือกข้าราชการพลเรือนเป็นอนุกรรมการใน
อ.ก.พ. สามัญ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นว่า ความในข้อ ๙ (๑)
การสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.พ. สามัญต่าง ๆ
ไม่ได้ระบุว่าเลขานุการคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิมีสิทธิเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิได้หรือไม่อย่างไร
และเสนอให้กำหนดแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจนับคะแนนการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนเพื่อเป็นอนุกรรมการใน
อ.ก.พ. สามัญ และคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ
กรณีประเด็นเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของบัตรลงคะแนน อาทิเช่น บัตรลงคะแนนระบุชื่อ
นามสกุล ของผู้ประสงค์จะเลือกไม่ถูกต้องจะถือเป็นบัตรลงคะแนนที่มีผลสมบูรณ์หรือไม่
หากมีผลไม่สมบูรณ์ (ถือเป็นบัตรเสีย) จะถือว่าเป็นบัตรเสียไปทั้งหมดของทุกรายชื่อในบัตรเลือกตั้งนั้น
หรือว่าจะถือเป็นความไม่สมบูรณ์เฉพาะรายชื่อที่ไม่ถูกต้องนั้น สำหรับรายชื่ออื่น ๆ
ที่ถูกต้องให้สามารถนับเป็นคะแนนของผู้ได้รับเลือกต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 300 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2565 | ทส. | 18/04/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๖/๒๕๖๕ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๕ จำนวน ๓ เรื่อง ประกอบด้วย (๑)
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (จำนวน ๘ โครงการ) เช่น โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าให้พื้นที่เกาะต่าง
ๆ [เกาะกระเต็น (แตน)
จังหวัดสุราษฎร์ธานี] ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
โครงการถนนตามผังเมือง ผังเมืองรวมเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร
ของกรมทางหลวงชนบท โครงการปรับปรุงท่าอากาศยานบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
ของกรมท่าอากาศยาน (๒) ร่างแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
ภายใต้แผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นละออง ปี ๒๕๖๖ และ (๓) แผนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้
ระยะที่ ๓ ปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
