ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 14 จากทั้งหมด 347 หน้า แสดงรายการที่ 261 - 280 จากข้อมูลทั้งหมด 6925 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 261 | การปรับปรุงคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (สำนักงานอัยการสูงสุด) | อส. | 03/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานอัยการสูงสุด จำนวน ๒๐,๕๕๒,๐๐๓,๖๐๐ บาท ทั้งนี้
การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 262 | การดำเนินโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาทรักษาทุกโรค) | นร. | 26/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๖ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกระดับการดำเนินโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
(โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค)
โดยด่วนเพื่อพิจารณาการดำเนินการปรับปรุงระบบสาธารณสุขของประเทศไทยให้มีความทันสมัย
มีประสิทธิภาพ และสามารถให้บริการ การดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
โดยที่การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายด้านการสาธารณสุขของรัฐบาลที่ประชาชนให้ความสนใจและรอคอยการดำเนินการอยู่
จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัด ติดตาม และรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการ
๓๐ บาทรักษาทุกโรค
ทั้งในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ในระยะต้นและในส่วนที่จะดำเนินการในระยะต่อไป
ต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ทั้งนี้
ให้ประชาสัมพันธ์ให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ทราบโดยทั่วกันตามความจำเป็นเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 263 | การทบทวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 18/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ซึ่งได้ประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๖
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบนโยบาย วงเงินงบประมาณรายจ่าย
และโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๖
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๖
ที่ได้เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 264 | การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณ พร้อมแนวทางการจัดทำงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 13/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
ดังนี้ ๑. การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ๓.
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ โดยปรับชื่อแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
และนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ให้เป็นปัจจุบัน ๔. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖
เรื่อง รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพสูงสุด ๕. ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔
เมษายน ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามบทบัญญัติมาตรา ๗๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 265 | เรื่องต่าง ๆ ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ | นร. | 13/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑. เรื่อง
การแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘
กรกฎาคม ๒๕๖๗ มติ
มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับเรื่องนี้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เรื่อง
การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๖๐ มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย)
พิจารณาดำเนินการในประเด็นการแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทั้งนี้ โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์
และให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วนในการออกแบบกฎ
กติกาที่เป็นประชาธิปไตย ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน
ตลอดจนสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และหารือแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญในรัฐสภา
เพื่อให้คนไทยได้มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและประเทศสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
รวมทั้งเป็นไปตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๖
ด้วย ๓. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบียบที่เป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัดในการปฏิบัติงานหรือการใช้ชีวิตของประชาชน มติ
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่องต่าง ๆ
ในความรับผิดชอบที่เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการของภาครัฐที่มีผลกระทบต่อการอำนวยความสะดวกและการให้บริการประชาชน
รวมถึงการอนุมัติ อนุญาตแก่ภาคเอกชน โดยให้คงอยู่ไว้เฉพาะเท่าที่จำเป็น
และหากเรื่องใดที่ไม่มีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดเงื่อนไขไว้
ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ โดยไม่ต้องขออนุมัติ ขออนุญาต ทั้งนี้
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรับแจ้งยืนยันการคงอยู่ของมติคณะรัฐมนตรีในความรับผิดชอบที่สมควรให้มีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป
ต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๖
หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่ามติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้น ๆ มีผลสิ้นสุดไป
รวมทั้งให้นำแนวทางข้างต้นไปใช้กับการพิจารณาการตรากฎหมายในระดับต่าง ๆ ด้วย ๔. เรื่อง การทบทวนประกาศ
คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ยังคงมีผลใช้บังคับในปัจจุบัน มติ
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนความจำเป็น
เหมาะสมของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับต่าง ๆ
ที่ยังคงมีผลใช้บังคับในปัจจุบัน
โดยหากประกาศหรือคำสั่งใดสมควรให้คงมีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป หรือสมควรยกเลิก
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนภายในวันที่ ๙ ตุลาคม
๒๕๖๖ ๕. เรื่อง นโยบายการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet มติ มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมหารือของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อศึกษารายละเอียดของแนวทางในการดำเนินนโยบายการเติมเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet ให้ชัดเจน
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ๖. เรื่อง
การพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ มติ มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เป็นระยะเวลา ๓ ปี และ ๑ ปี ตามลำดับ
โดยให้เสนอมาตรการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๒ สัปดาห์ ๗. เรื่อง นโยบายด้านพลังงาน มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการลดราคาพลังงานให้ครอบคลุมทั้งค่าไฟฟ้า
ค่าก๊าซหุงต้ม และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจ
แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ๘. เรื่อง
การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ มติ
มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นรองประธานกรรมการ
นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษาและกรรมการ นายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
เป็นกรรมการ และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
เพื่อดำเนินงานต่อไป ๙. เรื่อง การเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์และผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ
(El Nino) และลานีญา (La
Nina) มติ
มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นรายจังหวัด
เป็นเรื่องเร่งด่วน โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
เป็นประธานกรรมการ นายปลอดประสพ สุรัสวดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม
เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
เพื่อเป็นกลไกในการพิจารณาเตรียมการรองรับสถานการณ์และผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ
(El Nino) และลานีญา (La
Nina) ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ๒-๓ ปีข้างหน้า ๑๐. เรื่อง
นโยบายด้านการประมง มติ
มอบหมายให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการจัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูทะเลไทยเพื่อความยั่งยืนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) เป็นประธานกรรมการ นายปลอดประสพ
สุรัสวดี ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสิ่งแวดล้อม เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ
และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการให้ครบถ้วน
เพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ปัญหาของอุตสาหกรรมประมงให้เป็นระบบและครบวงจร
โดยให้คำนึงถึงการบริหารทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนด้วย ๑๑. เรื่อง
นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (๓๐ บาทรักษาทุกโรค) มติ
มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเร่งรัดการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกระดับการดำเนินโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
(โครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค) โดยด่วน
เพื่อพิจารณาดำเนินการปรับปรุงระบบสาธารณสุขของประเทศให้มีความทันสมัย มีประสิทธิภาพ
และสามารถให้บริการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ๑๒. เรื่อง
นโยบายการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน
ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว
(Visa Free) สำหรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถานเป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว
เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ
รวมทั้งพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขและขั้นตอนการเข้าประเทศสำหรับผู้ที่เข้ามาจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการ
โดยให้มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๖ ๑๓. เรื่อง
การปราบปรามผู้มีอิทธิพล มติ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลการครอบครองและพกพาอาวุธปืน
ยาเสพติด การรับสินบน และการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยการครอบครองและพกพาอาวุธปืนและอาวุธอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
ควรกำหนดให้ผู้ครอบครองนำมามอบแก่ทางราชการที่สถานีตำรวจในภูมิลำเนาภายใน ๓๐ วัน
ส่วนอาวุธปืนและอาวุธอื่น ๆ ที่มีทะเบียนถูกต้อง
หากผู้ครอบครองจำเป็นต้องพกพาให้ดำเนินการขออนุญาตพกพาภายใน ๓๐ วัน
นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้
ให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๑๔. การปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ มติ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง
(กรมบัญชีกลาง) เร่งศึกษาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และรายละเอียดในการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการโดยแบ่งจ่ายเป็น ๒ รอบ
เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการ
ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการพิจารณาดำเนินการเพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ภายในวันที่ ๑
มกราคม ๒๕๖๗ ๑๕. เรื่อง
การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ มติ
มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในกำกับดูแลให้ถูกต้อง
เหมาะสม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของภารกิจที่กำหนดไว้
บนพื้นฐานของความจำเป็นและประหยัดอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางไปร่วมประชุม สัมมนา ดูงาน
ของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงาน ๑๖. เรื่อง
การลดขนาดขบวนรถเดินทางของรัฐมนตรี มติ มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านพิจารณาปรับลดจำนวนคนและรถนำขบวนให้เหมาะสมเท่าที่จำเป็น
เพื่อให้เกิดผลกระทบด้านการจราจรกับประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนให้น้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 266 | แนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี และการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน | นร 05 | 13/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
และการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง
การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการรักษาความลับของทางราชการ
และการให้สัมภาษณ์หรือให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน) วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง
การรักษาความลับของทางราชการ) และวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง
การรักษาความลับในการประชุมคณะรัฐมนตรี) ๒. แนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีและการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน
โดยให้รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคระรัฐมนตรีถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ดังนี้ ๒.๑
ให้รักษาความลับหรือเอกสารของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
โดยแบ่งออกเป็น ๓ ชั้น คือ ลับที่สุด ลับมาก และลับ
ตามชั้นความลับที่ได้กำหนดไว้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งหากความลับดังกล่าวทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนรั่วไหลไปถึงบุคคลผู้ไม่มีหน้าที่ได้ทราบ
จะทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงและประโยชน์แห่งรัฐ ทั้งนี้
กรณีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
เลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวตามเงื่อนไขที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนดตามนัยมาตรา
๒๐ (๑) แห่งพระราชบัญญัติจข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ๒.๒
การพิจารณาหารือหรืออภิปรายของคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีไปถือเป็นความลับของทางราชการ
ดังนั้น รัฐมนตรี ผู้เข้าร่วมการประชุม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
พึงระมัดระวังและไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ
เกี่ยวกับเรื่องที่พิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ๒.๓ ในการจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
หากหน่วยงานเจ้าของเรื่องเห็นว่าเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ
มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ
ความมั่นคง ประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ของประเทศชาติ หากถูกนำไปเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างร้ายแรง
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องระบุไว้ในหนังสือนำส่งเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ
มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงอย่างไร
หรือหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่เข้าลักษณะดังกล่าว
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยจะแจกเอกสารระหว่างการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในระบบเรียกดูระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยเครื่องแท็บเล็ต
(M-VARA) และหลังจากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเสร็จจะถอนเรื่องออกจากระบบ
M-VARA ทันที ๒.๔ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดูแล
และระมัดระวังมิให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรีเปิดเผยเอกสารดังกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ๒.๕
กรณีมีผู้นำเอกสารหรือข้อความซึ่งเป็นความลับของทางราชการไปเผยแพร่จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
หรือเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่ได้รับความเสียหายพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เช่น
กรณีข้าราชการพลเรือนฝ่าฝืนข้อปฏิบัติตามมาตรา ๘๒ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาความลับของทางราชการ
โดยหากฝ่าฝืน ข้าราชการพลเรือนผู้นั้นถือเป็นผู้กระทำผิดวินัยตามมาตรา ๘๔
และหากการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงกรณีจะถือว่าข้าราชการพลเรือนผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา
๘๕ (๗) ทั้งนี้ จะต้องถูกดำเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๗ กล่าวคือ
ให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี อนึ่ง
ตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๔
ได้วางหลักเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมในเรื่องการรักษาความลับของทางราชการไว้เช่นเดียวกันตามข้อ
๗ (๓) กล่าวคือ ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ
โดยอย่างน้อยต้องไม่นำข้อมูลข่าวสารอันเป็นความลับของทางราชการซึ่งตนได้มาในระหว่างอยู่ในตำแหน่งไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เอกชนทั้งในระหว่างการดำรงตำแหน่งและเมื่อพ้นจากตำแหน่ง
และข้อ ๘ (๕) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องรักษาความลับของทางราชการ
เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ๒.๖
เรื่องใดที่มีผลกระทบต่อประชาชนหรือประเทศชาติโดยส่วนรวม
เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานหลักชี้แจงต่อสาธารณชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงเพิ่มเติมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติตามมติของคณะกรรมการต่าง ๆ
แล้ว ให้ประธานกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการชี้แจงในทำนองเดียวกันด้วย ๒.๗
ให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่และอำนาจให้ข่าวสารเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี
มติคณะรัฐมนตรี การดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือกระทรวง กรม
ตลอดจนชี้แจงต่อสาธารณชนเมื่อปรากฎว่ามีการเสนอข่าวคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงหรือไม่ถูกต้องครบถ้วนอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคลากรหรือรัฐบาล
หรือการปฏิบัติผิดพลาดได้ ทั้งนี้ อาจขอให้โฆษกกระทรวงเป็นผู้แถลงข่าว หรือออกคำชี้แจงเอง
หรือร่วมกันแถลงข่าว หรือชี้แจงด้วยก็ได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 267 | การปรับบทบาทภารกิจ หน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต และข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต | นร.12 | 29/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการแก้ไขร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานปลัดกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
และส่วนราชการไม่สังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง
ในส่วนของหน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต (ศปท.) รวม ๓๖ ฉบับ
และมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงต่อไป รวมทั้ง
ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต
และมอบหมายให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
และสำนักงาน ก.พ. พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานปลัดกระทรวง ส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
และส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงหรือทบวงในส่วนของหน้าที่และอำนาจของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต รวม
๓๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงแก้ไขหน้าที่และอำนาจของ ศปท.
เพื่อปรับปรุงบทบาทภารกิจให้ครอบคลุมงานด้านส่งเสริม คุณธรรม จริยธรรม
การเสริมสร้างวินัย การส่งเสริมธรรมาภิบาล และการต่อต้านการทุจริต
และมอบหมายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงต่อไป
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เช่น ควรแก้ไขข้อความเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของ
ศปท. เป็น “ของส่วนราชการในสังกัด รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน
และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กฎหมายกำหนด” เพื่อให้ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกประเภท
และควรมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้ ศปท.
ร่วมกับหน่วยงานของรัฐในสังกัดนำผลการดำเนินงานด้านคุณธรรมและความโปร่งใสไปปรับปรุงพัฒนาการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐในสังกัดอย่างเป็นระบบและเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม
ควรกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลและคำนึงถึงภัยคุกคามด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร.
รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เช่น
ควรมีการกำหนดโครงสร้าง และกรอบอัตรากำลัง
แนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม
การป้องกันการทุจริตและการติดตามประเมินผลของ ศปท.
ที่ชัดเจนเพื่อให้ส่วนราชการขับเคลื่อนการปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ควรพิจารณากำหนดกรอบโครงสร้างอัตรากำลังของ
ศปท. ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับปริมาณงาน ควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลัง
เพื่อรองรับการดำเนินการในส่วนดังกล่าวด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐและสำนักงานคระกรรมการป่องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรพิจารณากำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลและคำนึงถึงภัยคุกคามด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 268 | ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 และตำรับวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. .... | สธ. | 29/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท
๓ และตำรับวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข
และอัตราค่าธรรมเนียมการขอขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓
และตำรับวัตถุออกฤทธิ์ ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เห็นควรจะต้องคำนึงถึงคุณประโยชน์และผลกระทบของประชาชนเป็นสำคัญ
เพื่อป้องกันการนำยาเสพติดไปใช้ในทางที่ให้โทษ และบั่นทอนสุขภาพของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการขอขึ้นทะเบียนและการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมตามร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่งถึง
และแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำงบประมาณรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินงานทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกสิ้นปีงบประมาณตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 269 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออกหรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 พ.ศ. .... | สธ. | 29/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตผลิต
นำเข้า ส่งออกหรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตผลิต นำเข้า
ส่งออก หรือจำหน่าย คุณสมบัติของผู้ขออนุญาต การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต
การต่ออายุใบอนุญาต การแก้ไขรายการในใบอนุญาต การนำเข้าหรือส่งออกในแต่ละครั้ง
การดำเนินการของผู้รับอนุญาต เพื่อประโยชน์ในการควบคุมกำกับดูแล
การกำหนดหน้าที่เภสัชกร และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 270 | รายงานสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรณีการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมล่าช้า | สนง. กสม. | 29/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
กรณีการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมล่าช้า ซึ่งสำนักงาน
ก.พ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า
ข้อเสนอแนะที่ให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่สนองต่อภารกิจซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมโดยตรง
นั้น ที่ประชุมเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมแยกออกจากสำนักงาน
ก.พ. แต่ควรกำหนดแผนการแก้ไขปัญหาเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ (๑) แผนระยะสั้น : ปรับโครงสร้าง อัตรากำลัง
การบริหารจัดการงานให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ (๒) แผนระยะกลาง : ให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และข้าราชการทั่วไปเกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
และ (๓) แผนระยะยาว : ประเมินผลการดำเนินงานตามแผนระยะสั้นและระยะกลางเพื่อวิเคราะห์ความเหมาะสมของการมีหน่วยงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม
ส่วนข้อเสนอแนะที่ให้ปรับปรุงการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ให้มีความยืดหยุ่น
โดยนำกระบวนการไกล่เกลี่ยระหว่างคู่กรณีมาใช้ ที่ประชุมเห็นว่า
เป็นการเพิ่มขั้นตอนในกระบวนการพิจารณา อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้ากว่าเดิม นอกจากนี้
ข้อเสนอแนะที่ให้ปรับปรุงกฎหมายให้ร้องทุกข์ไปยังคณะอนุกรรมการสามัญประจำกรม (อ.ก.พ.
กรม) หรือคณะอนุกรรมการสามัญประจำจังหวัด (อ.ก.พ. จังหวัด) นั้น เห็นว่า
จะไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และหลักการของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.
๒๕๕๑ มาตรา ๑๒๓ และกฎ ก.พ.ค.
ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และสำนักงาน
ก.พ. อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขกฎ ก.พ.ค.
ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. .... และกฎ ก.พ.ค.
ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. ....
เพื่อให้การพิจารณาเรื่องอุทธรณ์และร้องทุกข์เป็นไปอย่างยุติธรรมและรวดเร็วยิ่งขึ้น
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 271 | การดำเนินการเพื่อรองรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ | นร. | 29/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
ตามที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อ “กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” เป็น
“กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” ตั้งแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๖
เป็นต้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ
เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
นั้น เนื่องจากปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate
Change) หรือภาวะโลกร้อน
กำลังเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่ทั่วโลกเร่งดำเนินการสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์การสหประชาชาติได้แจ้งถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่บ่งชี้ว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อน
(Global Warming) เข้าสู่ภาวะโลกเดือด (Global
Boiling) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น
เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของประเทศไทยเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
จึงเห็นควรให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญในการดำเนินงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน
โดยให้แต่งตั้งคณะทำงานหรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแลการดำเนินงานต่าง
ๆ รวมทั้งการประสานการดำเนินการกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจนและมีความต่อเนื่องต่อไปด้วย
และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 272 | การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ | ดศ. | 23/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. แต่งตั้ง นายพีรเดช ณ น่าน
เป็นกรรมการในคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ แทน นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี
ที่ขอลาออกจากตำแหน่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 273 | สรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 26 (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2564-31 พฤษภาคม 2566) | นร.04 | 15/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๖ (ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๔-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖) สรุปได้ ดังนี้ (๑) ผลการดำเนินงานตามนโยบายหลัก ๘ ด้าน ได้แก่
การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การสร้างความมั่นคง
ความปลอดภัยของประเทศและความสงบสุขของประเทศ การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก
การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งของฐานราก การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
และการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
และ (๒) นโยบายเร่งด่วน ๖ เรื่อง ได้แก่ การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน การปรับปรุงสวัสดิการและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม การยกระดับศักยภาพแรงงาน การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
และการจัดเตรียมการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย
ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 274 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตเกี่ยวกับยานพาหนะซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กห. | 15/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างกฎกระทรวงการอนุญาตเกี่ยวกับยานพาหนะซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรสำหรับยานพาหนะซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
เพื่อให้การปฏิบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตและพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมและมีการควบคุมกำกับดูแลที่เป็นมาตรฐานสากล
และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์
พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ รวมทั้งสอดคล้องกับการแก้ไขอายุใบอนุญาตที่มิให้กำหนดเกิน ๓ ปี
นับแต่วันออกใบอนุญาต (เดิม มิให้กำหนดเกิน ๑ ปี) รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าควรกำหนดเงื่อนไขการควบคุมการจัดการซากยานพาหนะซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
และควรทำคู่มือกระบวนการอนุญาตและเผยแพร่เว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ
(www.info.go.th)
หรือช่องทางต่าง ๆ ควรนำหลักของพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์
พ.ศ. ๒๕๖๕ มาประกอบการพิจารณาประกาศกำหนดการยื่นคำขอโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 275 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง พ.ศ. .... และร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร.10 | 15/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎ
ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่ง และระดับตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงชื่อตำแหน่งให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
และปรับรูปแบบการเขียนชื่อตำแหน่งของประเภทบริหาร และประเภทอำนวยการ
จากเดิมที่ระบุชื่อตำแหน่งเป็นการเฉพาะเจาะจง เป็นการกำหนดคำนิยามของตำแหน่งแทน และร่างกฎ
ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎ
ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับเงินประจำตำแหน่งของระดับชำนาญการ
(ประเภทวิชาชีพเฉพาะ เช่น สายงานแพทย์ สายงานวิชาการคอมพิวเตอร์ โดยได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตรา
๓,๕๐๐ บาท)
และขั้นตอนการกำหนดประเภทตำแหน่ง สายงาน ระดับ
และจำนวนตำแหน่งที่ได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มขึ้นของส่วนราชการ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรคำนึงงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 276 | รายงานสรุปผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ | นร.10 | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน
ก.พ. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน
ก.พ. ได้ประชุมหารือร่วมกันเพื่อพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขในระหว่างเดือนธันวาคม
๒๕๖๕ ถึงปัจจุบัน รวม ๓ ครั้ง มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑)
ประเด็นปัญหาการบริหารทรัพยากรบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขที่สำคัญ เช่น
การขาดแคลนอัตรากำลัง การปรับปรุงการจ่ายค่าตอบแทน
และการปรับปรุงสวัสดิการให้แก่บุคลากร (๒)
เห็นควรตั้งคณะทำงานร่วมของทั้งสองหน่วยงานในการกำหนดกรอบประเด็นปัญหาในภาพรวมและประเด็นที่จะต้องดำเนินการแก้ไขเร่งด่วน
และ (๓) แนวทางการแก้ปัญหา กำหนดเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน เช่น
การกำหนดตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษในราชการส่วนภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น และระยะยาว
เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตนักศึกษาในสายงานบุคลากรทางการแพทย์
การปรับปรุงพัฒนาระบบสวัสดิการ และค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 277 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย ของคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย
ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลได้ ดังนี้ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในส่วนของการให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการพัฒนาในประเด็นแนวโน้มที่มีการดำเนินการแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์นั้น
ได้มีการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มมีความหลากหลายและมีมาตรฐานต่างกัน เช่น
การพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) ให้มีการเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
การเร่งรัดการพัฒนาระบบการค้าดิจิทัลแพลตฟอร์มแห่งชาติ (National Digital
Trade Platform : NDTP) และขยายผล ASEAN Single Window (ASW)
ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศอื่นนอกอาเซียน
มีการพัฒนาระบบข้อมูลดิจิทัลด้านโลจิสติกส์ โดยพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big
Data) การขนส่งและโลจิสติกส์ เช่น
จัดทำระบบฐานข้อมูลการค้าธุรกิจบริการโลจิสติกส์ในรูปแบบ Dashboard รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้า และสถิติการค้าธุรกิจโลจิสติกส์
และขยายการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ เช่น พัฒนาการจัดการและการบริการโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยระบบดิจิทัล
ในส่วนของการให้ภาครัฐเร่งพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่มีความรวดเร็วนั้น
ได้มีการนำระบบการขนส่งอัจฉริยะ (ITS) มาใช้เพิ่มมากขึ้น
เช่น ติดตั้งระบบ Lane Management System ในเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขยายผลการติดตั้ง
GPS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการใช้รถ/ใช้ถนนของรถโดยสารและรถบรรทุก
และได้มีการยกระดับการพัฒนาท่าเรือดิจิทัลให้เป็น e-Port Community System
(PCS) เพื่อการบริหารจัดการอำนวยความสะดวกในภาพรวม
ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินโครงการจ้างเหมาเพื่อพัฒนาระบบดังกล่าวแล้ว
ในส่วนของการให้ภาครัฐสนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านการขนส่งด้วยวิธีการขนส่งแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น
ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับ ขั้นตอน การปฏิบัติภายในหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแพลตฟอร์มของระบบต่าง
ๆ ได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น จัดทำ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย
และในส่วนของการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านโลจิสติกส์ ได้มีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ Logistics
Startup ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น
โดยภาครัฐมีมาตรการสร้างการเติบโตและกระตุ้นธุรกิจด้าน Digital Logistics
Startup ของประเทศ เช่น จัดกิจกรรมเพื่อดำเนินการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยและต่างประเทศ
และมีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นผ่านการจัดกิจกรรมต่าง
ๆ ให้แก่บุคลากร เช่น เผยแพร่ ถ่ายทอดความรู้
ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า
พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 278 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปผลได้
ดังนี้ แนวทางการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ภายใต้ “๑ โครงการ ๑ QR Code” เพื่อเปิดโอกาสและสร้างแรงจูงใจให้เครือข่ายภาคประชาสังคมหรือประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเฝ้าระวัง
สอดส่อง และแจ้งเบาะแสการทุจริตในพื้นที่ของตนนั้น
ปัจจุบันกรมบัญชีกลางมีระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government
Procurement : e-GP) อยู่แล้ว
โดยจะมีการพัฒนาต่อยอดโดยการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำ QR
Code เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง
ข้อมูลโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ข้อตกลงคุณธรรม
(Integrity Pact) และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น
วงเงินงบประมาณ ราคากลาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดาวน์โหลด QR Code นำไปใส่ไว้ในป้ายโครงการก่อสร้าง และผู้สนใจทั่วไปสามารถสแกน QR
Code เพื่อดูรายละเอียดโครงการได้
และกรมบัญชีกลางจะพัฒนาเว็บเพจรวบรวมช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความมั่นใจ รวมทั้งจะพัฒนาช่องทางการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการปรับปรุงระบบ e-GP เพื่อรองรับแนวทางในการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โดยสามารถแบ่งระยะเวลาการดำเนินการได้เป็น ๒ ระยะ
ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาผู้พัฒนาระบบงาน (ระยะที่ ๒
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖) อย่างไรก็ตาม
กรมบัญชีกลางได้ประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในเรื่องการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างว่าต้องจัดทำ
QR Code ไว้ที่ป้ายโครงการแล้ว
และได้รับแจ้งว่าการกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการติดตั้งแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการในปัจจุบันเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
(๒๒ มกราคม ๒๕๕๑) ดังนั้น หากต้องการให้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำ QR Code ไปแสดงในป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้าง จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติกำหนดแนวทางในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 279 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑. การกำหนดระดับของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งมีอำนาจปรับเป็นพินัยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
และการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่จะออกตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อกำหนดตำแหน่งและคุณสมบัติของผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
เพื่อให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายที่บัญญัติความผิดทางพินัยใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
(ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๖) สำหรับการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้นั้น
ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา ๓๘
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่
๓๑๘/๒๕๖๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ลงวันที่ ๙ ธันวาคม
๒๕๖๕ แล้ว ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแนวทางหรือคู่มือการปฏิบัติงานเพื่อเผยแพร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นของรัฐต่อไป ๒.
การเปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ระบุเลขมาตราที่จะต้องมีการเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยไว้ด้วย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะจัดทำบัญชีรายชื่อกฎหมายตามบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
พร้อมทั้งระบุมาตราที่จะมีการเปลี่ยนโทษอาญาเป็นการปรับเป็นพินัยเผยแพร่ในระบบเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
มีผลใช้บังคับ (วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖)
ตลอดจนได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอินโฟกราฟิกเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
ให้แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไปผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เพจ facebook ไลน์
ตลอดจนส่งไปยังอีเมลของหน่วยงานต่าง ๆ
เพื่อให้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไปในวงกว้างสำหรับการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้น ๓.
การปรับปรุงบทบัญญัติที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงและมีโทษจำคุกและปรับที่สามารถเปรียบเทียบได้ให้เป็นความผิดทางพินัย
ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อปรับปรุงลักษณะของความผิดและอัตราโทษให้เหมาะสมต่อไป ๔.
การปฏิรูประบบการกำหนดโทษในระบบกฎหมายไทย
การศึกษาระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีและผู้ด้อยฐานะ
เห็นว่าการนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day fine) ในต่างประเทศจะใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายอาญา
เนื่องจากมีต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ของประชาชน
ประกอบกับประเทศไทยยังไม่มีระบบการจัดเก็บรายได้ของประชาชน
และหานำระบบดังกล่าวมาใช้จะต้องเปลี่ยนระบบในการกำหนดโทษปรับทางอาญาใหม่
จากการกำหนดจำนวนค่าปรับ เป็นการกำหนดเป็นวันปรับ และระบบกฎหมายอาญาของไทยในปัจจุบันเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
เนื่องจากเป็นระบบที่ให้ดุลพินิจแก่ศาลในการพิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลประกอบการกำหนดโทษได้อยู่แล้ว
จึงยังไม่เห็นความจำเป็นต้องนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) มาใช้ในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 280 | ข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน | ปช. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
โดยจากการศึกษาพบว่า
ปัญหาการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตจากการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐ
เช่น (๑) ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ
อนุญาต นำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการให้บริการประชาชน และ (๒)
ควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกหน่วยงานกำหนดแนวทางและจัดทำคู่มือในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุมัติ
อนุญาต เพื่อมีมาตรฐานในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๒.
รับทราบสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งสำนักงาน
ก.พ.ร. ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
