ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 12 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 222 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 161 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการ | กต. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการ
(Agreement between the Government
of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of
Bangladesh on Visa Exemption for Holders of Official Passports) และให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว และให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางราชการของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า
เดินทางออกจาก เดินทางผ่าน
และพำนักอยู่ชั่วคราวในดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน
นับจากวันที่เดินทางเข้า โดยบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่เข้ารับการจ้างงานใด ๆ
ไม่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือกิจการส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่าย ทั้งนี้
ระยะเวลาพำนักนั้นจะได้รับการขยายไปจนสิ้นสุดวาระการแต่งตั้งของบุคคลเหล่านั้น
เมื่อมีคำร้องขอของกระทรวงการต่างประเทศหรือสถานเอกอัครราชทูตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งแจงเหตุผลและประโยซน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตามประเมินผลและสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานตามความตกลงดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบ
และเห็นควรให้ความเห็นชอบให้ผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงดังกล่าว
โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
ที่ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะทำความตกลงระหว่างประเทศทุกประเภทดำเนินการให้ถูกต้อง
ชัดเจน และปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 162 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา | ลต. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๒๒๗,๑๐๕,๕๐๐ บาท
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งขอรับการสนับสนุนงบประมาณ
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ตามนัยข้อ ๘ วรรคสองของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 163 | การแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (1.นายอำนวย โชติสกุล ฯลฯ รวม 7 คน) | พปส. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
รวม ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ เมษายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายอำนวย โชติสกุล ประธานกรรมการ ๒. นางสาวชูสะอาด กันธรส กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ๓. ผู้ช่วยศาสตราจารย์อัจฉรา ปัณฑรานุวงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน ๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์เกษม เพ็ญภินันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปวัฒนธรรม ๕. ศาสตราจารย์สุมาลี วงษ์วิฑิต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๖. นายบุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประเมินผล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 164 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-ลาว ครั้งที่ 28 | กห. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป
(General Border Committee : GBC) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๘ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการฯ
ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ นครหลวงเวียงจันทน์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะหารือและแลกเปลี่ยนมุมมองด้านความมั่นคงและการทหารเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้มีความแน่นแฟ้น
รวมทั้งขยายความร่วมมือให้ครอบคลุมในทุกมิติ โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมลงนามในความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-ลาว
ฉบับปี ๒๕๖๖
โดยสนับสนุนให้ทุกกลไกประสานความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง
และการแลกเปลี่ยนการศึกษาโดยฝ่ายไทยรับเป็นเจ้าภาพการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงานสำหรับนายทหารระดับกลาง
สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับฝึกอบรมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้แก่กำลังพลของกองทัพประชาชนลาว
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 165 | ร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) ที่จะเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย - บังกลาเทศ | พณ. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent
: LOI) ที่จะเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี
ไทย-บังกลาเทศ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ
โดยร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ จะมีการลงนามในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๗
ในช่วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ (นางเชค ฮาซีนา)
ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี
(Free Trade Area : FTA) ไทย-บังกลาเทศ
ภายในปี ๒๕๖๗ มีสาระสำคัญระบุว่าทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนผลการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility
Study) ที่แต่ละฝ่ายได้จัดทำไว้
และจะสานต่อการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเร่งรัดกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งรวมถึงผ่านกลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade
Committee) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงที่จะเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี
ไทย-บังกลาเทศ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 166 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตหรือใบรับรอง และการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองให้นำเข้า หรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า พ.ศ. .... | ทส. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตหรือใบรับรอง
และการออกใบอนุญาตหรือใบรับรองให้นำเข้า หรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า
หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตให้นำเข้าหรือส่งออกซึ่งสัตว์ป่า
ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่าที่เป็นสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง
สัตว์ป่าคุ้มครองที่เพาะพันธุ์ได้ และสัตว์ป่าควบคุม รวมทั้งการขอรับใบรับรองและการออกใบรับรองเพื่อการดำเนินการดังกล่าว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องตามมาตรา ๙ และมาตรา
๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕
และควรเร่งดำเนินการตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด
รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th) ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 167 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2550 เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร | กค. | 18/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร) ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
เพื่อให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ตรงตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
โดยไม่กระทบต่อฐานะทางการเงินของ ธ.ก.ส. และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน
รวมถึงป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ ธ.ก.ส. โดยให้ถือใช้ข้อความตามที่ปรับปรุงแล้ว
แทนข้อความเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
เช่น ๑)
ควรสื่อสารทำความเข้าใจกับลูกหนี้เกี่ยวกับวิธีการดำเนินคดีที่เปลี่ยนแปลงไป ๒)
ควรกำหนดแผนบริหารจัดการหรือมาตรการจัดการหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยหรือเบี้ยปรับหรือผลกระทบในด้านอื่น
ๆ ที่เป็นภาระแก่เกษตรกรเกินสมควร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังร่วมกับ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยกับลูกหนี้เกษตรกรที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(Non-Performing
Loans : NPLs) ซึ่งยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีให้มีการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาของลูกหนี้แต่ละรายเพื่อให้เกษตรกรกลุ่มนี้ยังคงมีศักยภาพในการชำระหนี้ได้ต่อไปโดยไม่ถูกดำเนินคดีด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 168 | ญัติติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน | สผ. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบญัตติด่วน เรื่อง
ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในเยาวชน ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 169 | ร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ | กต. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์
และให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในการหารือกับนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์
ในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ โดยถ้อยแถลงร่วมฯ จะเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์
โดยแสดงเจตนารมณ์ที่ทั้งสองประเทศจะร่วมกันขับเคลื่อนและการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกันในสาขาที่เป็นความสนใจและผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
มีเนื้อหาครอบคลุมความร่วมมือไทย-นิวซีแลนด์ ด้านความสัมพันธ์ทวิภาคี ความร่วมมือด้านความมั่นคง
เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน พลังงานทดแทน การส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชน
รวมถึงความร่วมมือในระดับภูมิภาค โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) การประกาศเป้าหมายการยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันในปี
๒๕๖๙ เพื่อเพิ่มความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นมากขึ้น (๒)
การส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน (๓)
ความร่วมมือด้านการศึกษาและการส่งเสริมการท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 170 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | สปสช. | 09/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘ ภายในวงเงิน ๒๓๕,๘๔๒,๘๐๐,๙๐๐ บาท สำหรับงบประมาณบริหารงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
วงเงิน ๒,๒๓๘,๘๓๖,๒๐๐ บาท นั้น ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็น
เหมาะสม ประหยัดและสอดคล้องกับภารกิจการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการและบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
ในด้านบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี
บริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน
บริการสาธารณสุขร่วมกับกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด
และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
สำหรับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรครายบุคคลและครอบครัว ตามมาตรา ๑๘ (๑๔)
แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ และควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้บริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นไปตามการมอบหมายดังกล่าว
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย
และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จัดทำตัวชี้วัดการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
(P&P) ในกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เช่น ข้าราชการและบุคคลในครอบครัว ผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม เป็นต้น
และให้มีการรายงานผลทุกครั้งที่เสนอขอรับงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี การค้นหาประชาชนผู้ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้
เช่น คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น
โดยอาจขอความร่วมมือกับหน่วยงาน
ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเครือข่ายระบบสุขภาพให้แก่ประชาชนคนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างครอบคลุม
สอดรับกับการได้รับสวัสดิการสังคมขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะก่อให้เกิดความครอบคลุมแก่ประชากรทุกกลุ่ม
และนำไปสู่ความเข้มแข็งของการได้รับการคุ้มครองสิทธิและมีหลักประกันทางสังคมที่เพิ่มขึ้น
และให้ดำเนินการตามนัยมาตรา ๙ และมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข
ตลอดจนปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 171 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติ | กต. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติ
(ข้อมติ UNSC) ที่
๒๖๙๙ (ค.ศ. ๒๐๒๓) เกี่ยวกับสาธารณรัฐเฮติเพิ่มเติมจากข้อมติ UNSC ที่ ๒๖๕๓ (ค.ศ. ๒๐๒๒) จนกว่า UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเฮติ
ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อมีการรับรองข้อมติที่เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเฮติต่อไป
และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติและปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อสาธารณรัฐเฮติและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งแจ้งผลให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการดำเนินการตามข้อมติ UNSC ที่ ๒๖๙๙ (ค.ศ. ๒๐๒๓) จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานตามข้อมติฯ ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วน
ได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 172 | ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน พ.ศ. .... | นร.12 | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ
เพื่อลดขั้นตอนการอนุญาตที่ไม่จำเป็น ปรับปรุงระบบและขั้นตอนการอนุญาตให้สะดวกและทันสมัยยิ่งขึ้น
รวมทั้งลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานในการอนุมัติ อนุญาต อันจะนำไปสู่การลดการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติ มาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ควรกำหนดให้มีการตรวจสอบ
ทบทวน และปรับปรุงกระบวนการ
ขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามที่กำหนดในคู่มือประชาชนเป็นประจำอย่างน้อย
๒ ปี ตามร่างมาตรา ๘ วรรคสี่ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป
โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด
๑๖ การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ๓.
เห็นชอบข้อเสนอการทดลองดำเนินการตามหลักการสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชน
พ.ศ. .... และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาคัดเลือกและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทดลองดำเนินการตามหลักการสำคัญต่อไป
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 173 | ขออนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินและขยายระยะเวลาดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ | กษ. | 02/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดชัยภูมิ
จากเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ. ๒๕๖๗) เป็น ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ.
๒๕๗o) และให้เพิ่มกรอบวงเงินโครงการอ่างเก็บน้ำลำน้ำชีอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดชัยภูมิ
จากเดิม ๓,๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๖,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมชลประทาน) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เช่น ควรนำมาตรการป้องกัน
แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปประกอบการดำเนินงานโครงการทั้งในระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการ
พร้อมทั้งควบคุม กำกับ ติดตาม
และดูแลเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินโครงการที่กำหนดไว้
ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยในระยะก่อสร้างการป้องกันอุบัติเหตุที่มีผลต่อคนงานและประชาชนในพื้นที่ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยทดแทนที่ดินและทรัพย์สินของราษฎรที่ได้รับผลกระทบ
ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรให้เหลือน้อยที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 174 | การจัดตั้งพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ | ศธ. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดให้จังหวัดบุรีรัมย์เป็นพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมการศึกษา
โดยมีวัตถุประสงค์ ๔ ประการ ดังนี้ (๑)
คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาและการเรียนรู้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของผู้เรียน
รวมทั้งเพื่อให้มีการขยายผลไปปรับใช้ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานอื่น (๒)
ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา (๓) กระจายอำนาจและให้อิสระแก่หน่วยงานทางการศึกษาและสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารและการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และ (๔) สร้างและพัฒนากลไกการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่างภาครัฐ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
ตามที่คณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น ให้หน่วยงานดำเนินการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
การขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงานตามมาตรา ๒๘
ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้นำผลการประเมินผลการดำเนินงานในช่วง ๓ ปี ตามมาตรา ๔๐
มาประกอบการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมของสถานศึกษาแต่ละพื้นที่
ความคุ้มค่า ความซ้ำซ้อน ความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน
รวมถึงการสร้างความรับรู้และความเข้าใจในทุกมิติถึงประโยชน์ที่ทุกภาคส่วนจะได้รับเป็นสำคัญ
ต่อไปเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาเร่งรัดการดำเนินงานสำคัญตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๒ อาทิ
การออกกฎคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเกี่ยวกับการคัดเลือก
การบรรจุแต่งตั้ง การโยกย้าย การเลื่อนเงินเดือน และการประเมินวิทยฐานะของบุคลากรการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเพื่อให้การบริหารงานบุคคลมีความคล่องตัวและต่อเนื่อง
การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะของสถานศึกษานำร่องในพื้นที่ต่าง ๆ ควรมีการแสดงข้อมูลและรายละเอียดหลักสูตรว่า
มุ่งเน้นการปรับหลักสูตรไปในทิศทางใด
หลักสูตรดังกล่าวมีความสอดคล้องกับบริบทในเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาของภูมิภาคนั้นอย่างไร
รวมทั้ง
ควรพิจารณาการสร้างและพัฒนากลไกในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
โดยการสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงฐานข้อมูลนวัตกรรมการศึกษาของแต่ละพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 175 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. .... | คค. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดคำธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมสำหรับใบอนุญาตหรือใบรับรองที่กำหนดขึ้นใหม่ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ
(ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ แก้ไขปรับปรุงการจำแนกประเภทใบอนุญาตและใบรับรอง
รวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและอัตราขั้นสูงสำหรับค่าบริการในสนามบิน
พ.ศ. ๒๕๕๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ที่สะท้อนต้นทุน
และความเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 176 | ร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ลาว เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ครั้งที่ 4 | มท. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ลาว
เพื่อดูแลการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง (Joint Committee for Management on Mekong River and Heung
River : JCMH) ครั้งที่ ๔ และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกการประชุมฯ
โดยร่างบันทึกการประชุมฯ มีประเด็นที่สำคัญคือ
การปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนดมาตรฐานด้านเทคนิคการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง
และข้อกำหนดทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับการดูดทรายตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ปัจจุบันยังคงพบปัญหาความไม่ชัดเจนของเขตแดนร่องน้ำลึกของแม่น้ำโขงระหว่างไทยและ
สปป.ลาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในแม่น้ำโขง เช่น
การเปลี่ยนแปลงของเกาะหรือดอนในแม่น้ำโขง การขยายตัวของชุมชนตามแนวชายแดน
การสร้างท่าเทียบเรือและตลิ่ง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางหรือกลไกในการบูรณาการข้อมูลร่วมกันระหว่างคณะกรรมการ/คณะกรรมาธิการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแม่น้ำโขงและพื้นที่เกี่ยวเนื่องร่วมกับ สปป.ลาว
และประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การกำหนดนโยบายและการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายไทยเป็นไปอย่างมีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 177 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี | ทส. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน
จังหวัดเพชรบุรี ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ดังนี้ ๑. การเร่งรัดพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์
พ.ศ. .... ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ๒. การพิจารณาจัดตั้งกลไกในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยให้เป็นรูปธรรม
มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ จัดตั้งกลไกในการดำเนินงาน ได้แก่ ๑) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดเพชรบุรี
ได้แต่งตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในด้านต่าง
ๆ ๒) มีหน่วยงานหลายภาคส่วน เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
กรมทรัพยากรน้ำ ได้เข้าไปพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น ที่อยู่อาศัย ที่ดินทำกิน
การเกษตร ระบบน้ำ - ไฟฟ้า ชีวิตความเป็นอยู่ ๓) มีหน่วยงานต่าง ๆ
ได้ให้ความช่วยเหลือโดยให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐได้ เช่น กระทรวงสาธารณสุขให้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการรักษาพยาบาล
และกระทรวงศึกษาธิการ ให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ ๔) กระทรวงมหาดไทยได้สำรวจการถือครองที่ดินจัดทำทะเบียนประวัติสถานะบุคคลและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ๓. การบูรณาการการแก้ไขปัญหาโดยใช้กลไกตามข้อ ๒
นั้น
กระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันใน
๕ ขั้นตอน ดังนี้ ๑) ให้มีคณะทำงานที่มีองค์ประกอบทั้ง ๓ ฝ่าย ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และคณะกรรมการอิสระ ๒) ให้มีการสำรวจที่อยู่อาศัย ที่ทำกินของประชาชนในพื้นที่บ้านบางกลอยให้แล้วเสร็จ
๓) จัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่ ๔) ให้ชาวบ้านได้เข้าไปทดลองใช้ประโยชน์ในพื้นที่
โดยมีหน่วยงานเข้าไปกำกับดูแล และ ๕) ให้มีการประเมินผลการทดลอง รวมทั้งได้มีคณะทำงานและคณะกรรมการหลายชุด
เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยมาโดยตลอดด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 178 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | อว. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒ ราย ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 179 | การนำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ในส่วนที่เกี่ยวกับวินัยและโทษผิดวินัยมาใช้บังคับกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ โดยอนุโลม | มท. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรมการปกครองในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
นำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.๒๕๕๑
ในส่วนที่เกี่ยวกับวินัยและโทษผิดวินัยมาใช้บังคับกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
แพทย์ประจำตำบล และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านโดยอนุโลม นับแต่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
โดยไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการทางวินัยที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
ให้นำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
มาใช้บังคับก่อนคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรคำนึงถึงลักษณะของการกระทำผิดและผลกระทบที่จะเกิดแก่ราชการในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ เนื่องจากเกษียณหรือพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว และกรณีมีมติชี้มูลความผิดข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ซึ่งออกจากราชการแล้ว
ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 180 | ร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ด้านความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และบริษัทไชน่า ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น | พณ. | 26/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ด้านความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านโอกาสทางการค้าและการลงทุนในประเทศไทยและจีนรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าสู่ตลาดของผลิตภัณฑ์หรือการขยายธุรกิจของบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น ในประเทศไทย การส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าไทยในสถานีบริการน้ำมันบริษัทไชน่า
ปิโตรเคมิคอล คอร์ปอเรชั่น การสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจต่าง ๆ เช่น
การสัมมนาการประชุม การจับคู่ธุรกิจ งานแสดงสินค้า การจัดคณะผู้แทนการค้า ฯลฯ
รวมทั้งแสวงหา ส่งเสริม และพัฒนาโอกาสในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
(หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๖/๔๓๒๖ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม
๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งให้ข้อมูล/ความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบ
หลักเกณฑ์เงื่อนไข ขั้นตอนที่เกี่ยวกับการส่งออก และการจดทะเบียน เครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตรซึ่งรวมถึงการบังคับใช้สิทธิและความคุ้มครอง
ตลอดจนให้คำปรึกษาแนะนำและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้าร่วมโครงการฯ
ให้สามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า/สิทธิบัตรในประเทศจีน ก่อนการเข้าไปทำการตลาด
เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิ และควรดำเนินการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจากการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ
ดังกล่าวเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
