ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 252 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 61 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ
(Summit between ASEAN and the Gulf
Cooperation Council : ASEAN-GCC Summit) จำนวนสองฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำทั้งสองฝ่ายในการกระชับความสัมพันธ์อาเซียน-GCC
ในความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน และ (๒)
ร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ เป็นเอกสารแผนงานระหว่างอาเซียนกับ
GCC ระยะ ๕ ปี ระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๘ ซึ่งระบุโครงการ
กิจกรรม และแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ระหว่างกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ระบุถึงการแสวงหาความร่วมมือในด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม
การปรับตัวและมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการขนส่ง ซึ่งไม่มีการระบุไว้ในร่างกรอบความร่วมมือฯ
จึงอาจพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อนำไปเป็นแนวทางการขยายการดำเนินความร่วมมือร่วมกันต่อไปในอนาคต
รวมทั้งควรวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้งสองฉบับในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 62 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการจัดตั้งกลไกประสานงานสำหรับการร่วมกันส่งเสริมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการจัดตั้งกลไกประสานงานสำหรับการร่วมกันส่งเสริมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไกประสานงานภายใต้แผนความร่วมมือฯ
และกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกลไกประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น
ขอบเขตการดำเนินงานของทั้งสองฝ่ายภายใต้กลไกประสานงานใน ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑)
การตีความ การทบทวน และการปฏิบัติตามแผนความร่วมมือฯ (๒) การทบทวน
ปรับปรุงรายชื่อโครงการความร่วมมือภายใต้แผนความร่วมมือฯ (๓)
การร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติตามแผนความร่วมมือฯ และ (๔)
การแลกเปลี่ยนความร่วมมือในสาขาที่สอดคล้องกับแผนความร่วมมือฯ
หรือในสาขาอื่นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเป็นประโยชน์ การจัดการประชุมของกลไกประสานงาน
การแบ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการประชุมกลไกประสานงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาและการปฏิรูปแห่งชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 63 | ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม | กษ. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนม
โดยปรับเพิ่มราคารับซื้อน้ำนมโคเป็น
๒๒.๗๕ บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่กระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้ผู้ประกอบการนมพาณิชย์ปรับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมในตลาดนมพาณิชย์ได้
โดยให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาการปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์นม (นมพาณิชย์) ให้เหมาะสม
สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้ประกอบการ
ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์ นม ในการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๔
มีนาคม ๒๕๖๖ กรณีโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน โดยคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน และให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาทบทวนแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนมให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมรายย่อย
รวมทั้งการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมโคให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมด้วย และให้เร่งดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมปศุสัตว์และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์
เช่น ควรพิจารณาให้มีผลในปีงบประมาณถัดไป เนื่องจากอาจส่งผลให้มีการปรับเพิ่มราคากลางในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม
โครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ซึ่งเกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น
และส่งผลกระทบต่องบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและหน่วยรับงบประมาณ
(องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) ที่ได้รับการจัดสรร
สำหรับใช้ในการดำเนินการตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ไม่เพียงพอ ดังนั้น
ควรให้สำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าว อีกทางหนึ่ง ควรมีการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
กระทรวงสาธารณสุข กำหนดเพื่อให้นักเรียนได้บริโภคอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
ที่มีคุณภาพ ควรพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านปริมาณน้ำนมดิบ
นอกเหนือจากการปรับราคาด้วย เช่น การลดต้นทุนให้แก่เกษตรกร
การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเลี้ยงโคนม
และการสนับสนุนให้มีผลิตภัณฑ์นมที่หลากหลายเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 64 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ดินสาธารณประโยชน์แปลง “ทุ่งหนองแด” ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี | กษ. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เมื่อวันที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ และเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำพื้นที่ที่ดินสาธารณประโยชน์ แปลง “ทุ่งหนองแด”
ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
เพื่อให้สามารถเข้าดำเนินงานในพื้นที่ พร้อมส่งมอบพื้นที่ให้แก่
สมาคมพืชสวนโลกระหว่างประเทศ AIPH ตามกำหนดกรอบเวลา
ก่อน ๖ เดือน ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๙ และให้ทันพิธีเปิดงานในวันที่ ๑ พฤศจิกายน
๒๕๖๙ ซึ่งให้เกิดประโยชน์กับการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการสื่อสารแนวปฏิบัติที่ชัดเจน
ตลอดจนมีมาตรการรองรับในระหว่างการจัดงานและภายหลังเสร็จสิ้นงาน
เพื่อเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลกอย่างมีความรับผิดชอบ
อันจะเป็นประโยชน์ในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานของไทยในอนาคต ควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข ๒ เช่น
ปริมาณจราจรที่จะเพิ่มขึ้นทั้งในระหว่างเตรียมการจัดงานและระหว่างจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มาร่วมงานและประชาชนโดยทั่วไปได้ ควรให้ความสำคัญต่อการพิจารณากำหนดมาตรการบริหารจัดการพื้นที่ดำเนินการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ
ที่สอดคล้องกับขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) ตลอดจนกำหนดมาตรการและแนวทางในการบำรุงรักษาพื้นที่ให้ยังคงสภาพที่สมบูรณ์
สามารถใช้ประโยชน์ภายหลังการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน
ชุมชน โดยรอบได้อย่างยั่งยืนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ กันยายน ๒๕๖๖ (เรื่อง การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. ๒๕๖๙) รวมทั้งการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณประโยชน์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 65 | การลงนามพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยอาหาร ด้านการสัตวแพทย์ และการปกป้องพืช เพื่อการส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้งจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน | กษ. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยอาหารด้านการสัตวแพทย์
และการปกป้องพืช เพื่อการส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้งจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม
(คาดว่าจะมีการลงนามพิธีสารฯ ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๖) โดยร่างพิธีสารฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้ง
ประกอบด้วย น้ำผึ้ง นมผึ้ง และเกสรผึ้ง ซึ่งจะเป็นการขยายตลาด
และสร้างโอกาสการลงทุนทางการค้า
ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ของไทยขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการก่อนการลงนาม
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์จากผึ้งและระบบการบริหารจัดการ
รวมถึงกระบวนการตรวจสอบ การกักกัน ความปลอดภัยอาหาร และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์
ให้เป็นไปตามหลักการตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 66 | การรับรองเอกสารข้อริเริ่มปักกิ่งว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจดิจิทัลภายใต้กรอบสายแถบและเส้นทาง และการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานข้อมูลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล | ดศ. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบเอกสารข้อริเริ่มปักกิ่งว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศด้านเศรษฐกิจดิจิทัลภายใต้กรอบสายแถบและเส้นทาง
และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และสำนักงานข้อมูลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายร่วมรับรองเอกสารข้อริเริ่มฯ
และลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในห้วงการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative for International Cooperation
Forum : BRF) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ ณ
สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเอกสารข้อริเริ่มฯ
เป็นเอกสารที่ระบุถึงเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่มีความสำคัญมากขึ้น
รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการเร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยกระดับการผลิตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ
พัฒนาตลาดและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ และช่วยให้บรรลุการเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน
เพื่อขยายความร่วมมือในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัล
โดยคำนึงถึงหลักการเรื่องการเชื่อมโยงระหว่างกัน นวัตกรรม การเปิดกว้าง ความสามัคคีและความไม่แบ่งแยกผลประโยชน์ร่วมกัน
และความร่วมมือแบบได้ประโชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (win-win cooperation) ส่วนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ ของสหประชาชาติ
และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งสองประเทศระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างต่อเนื่อง
และเน้นย้ำเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อริเริ่มฯ และร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 67 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์เพิ่มเติมของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 43 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 68 | คำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | สขค | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบกรอบวงเงินคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า วงเงินรวม ๔๗๐.๗๐๓๙ ล้านบาท
เพื่อบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ทั้งนี้
การขอตั้งงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และรายงานเกี่ยวกับเงินงบประมาณ ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
และให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามแนวทางการจัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ (สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า)
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรพิจารณาเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินงานให้สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ หมุดหมายที่ ๗ ให้ประเทศ ไทยมี SMEs ที่เข้มแข็ง มีศักยภาพสูง และสามารถแข่งขันได้
โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความสำคัญ เช่น
การติดตามสถานการณ์การแข่งขันของตลาดและพฤติกรรมการประกอบธุรกิจอย่างใกล้ชิดเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของรูปแบบธุรกิจและตลาด
โดยเฉพาะธุรกิจภาคการเกษตรและภาคบริการที่มีผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ประกอบธุรกิจเป็นจำนวนมาก
การเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่เป็นธรรมเกี่ยวกับระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า
(Credit Term) กรณีผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พร้อมทั้งดำเนินการติดตามและประเมินผลเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงมาตรการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์
(สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ กันยายน ๒๕๖๖ (เรื่อง การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณ
พร้อมแนวทางการจัดทำงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ
รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 69 | เอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 23 | กต. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
ครั้งที่ ๒๓ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างแถลงการณ์โคลัมโบ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความยินดีต้อนรับซาอุดีอาระเบียเข้าเป็นประเทศคู่เจรจาลำดับที่
๑๑ และต้อนรับอินเดียเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มผู้ประสานงานเฉพาะกิจ (TROIKA)
รวมถึงรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อตกลงด้านสถาบันกับองค์การในระดับภูมิภาคต่าง
ๆ และองค์การสหประชาชาติ และร่างวิสัยทัศน์สมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ค.ศ. ๒๐๓๐
และสืบต่อไป
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ร่วมกันของประเทศสมาชิกที่จะเน้นย้ำความร่วมมือและความมุ่งมั่นที่จะพัฒนา
เช่น การเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์และทิศทางการดำเนินงาน
การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ กับประเทศคู่เจรจา และเสริมสร้างบทบาทของภาควิชาการและการวิจัย
เป็นต้น และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ทั้งสองฉบับดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
ครั้งที่ ๒๓ จำนวน ๒ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทรับภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 70 | การลงนามความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกันและสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน | กษ. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อร่างความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย
กับ สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน
และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์
เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย
กับ สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยหลักเกณฑ์การตรวจสอบ การกักกัน
และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศ
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงเพื่อแก้ไขพิธีสารระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ การตรวจสอบ การกักกัน และสุขอนามัยทางสัตวแพทย์ เพื่อการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็งและชิ้นส่วนสัตว์ปีกจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๙๐๗/๑๔๒ ลงวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๖)
ที่เห็นควรว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีความพร้อมในการดำเนินการหากร่างความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ เช่น การออกกฎหมายลำดับรองที่จำเป็น
การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ
รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนทราบ
เพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ภายใต้ร่างความตกลงดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการโดยด่วนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 71 | การจัดทำพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกผลเสาวรสสดจากราชอาณาจักรไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กษ. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกผลเสาวรสสดจากราชอาณาจักรไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
(Protocol on the Phytosanitary Requirements for
the Export of Fresh Passion Fruits from Thailand to China between the Ministry
of Agriculture and Cooperatives of the Kingdom of Thailand and the General
Administration of Customs of the People’s Republic of China) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Power) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายสำหรับลงนามในพิธีสารฯ (จะมีการลงนามในร่างพิธีสารฯ
ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของนายกรัฐมนตรีช่วงกลางเดือนตุลาคม ๒๕๖๖)
โดยร่างพิธีสารฯ
เป็นข้อกำหนดด้านสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกผลเสาวรสสดจากไทยไปยังจีน
เพื่อให้มั่นใจว่าผลเสาวรสสดที่ส่งออกไปจีนนั้น ปราศจากศัตรูพืชกักกันของประเทศจีน
โดยพิธีสารฉบับนี้จะส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกผลเสาวรสสดไปยังจีนได้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในการสร้างตลาดใหม่ให้กับสินค้าเกษตรของไทย
รวมไปถึงการสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกเสาวรสของไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ และได้มีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ เช่น
การแก้ไขถ้อยคำในร่างพิธีสารฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการก่อนการลงนาม
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและการดำเนินกระบวนการตรวจสอบสุขอนามัยพืช
และมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยเพื่อการส่งออกผลเสาวรสสดจากประเทศไทย
ให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 72 | การจัดทำพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกต้นสนใบพาย จากราชอาณาจักรไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กษ. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดด้านมาตรการสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งออกต้นสนใบพาย
จากราชอาณาจักรไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
(Protocol on the Phytosanitary Requirements
for the Export of Podocarpus Plants from Thailand to China between the Ministry
of Agriculture and Cooperatives of the Kingdom of Thailand and the General
Administration of Customs of the People’s Republic of China) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Power) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายสำหรับลงนามในพิธีสารฯ (จะมีการลงนามในร่างพิธีสารฯ
ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของนายกรัฐมนตรีช่วงกลางเดือนตุลาคม ๒๕๖๖)
โดยร่างพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการสุขอนามมัยพืชสำหรับการส่งออกต้นสนใบพายจากราชอาณาจักรไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
เช่น การปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของจีนและกฎระเบียบและมาตรฐานระดับประเทศ
การขึ้นทะเบียนเรือนเพาะชำต้นสนใบพายที่จะส่งออกที่ได้รับการประเมินจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และได้รับการประกาศรับรองบนเว็บไซต์ของสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และการออกใบรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับต้นสนใบพายที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตรวจสอบว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของพิธีสารฯ
แล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ และได้มีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ เช่น
การแก้ไขถ้อยคำในร่างพิธีสารฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการก่อนการลงนาม
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เกี่ยวกับระบบกำจัดศัตรูพืช
ตลอดจนแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของโรคพืชแก่เกษตรกรในวงกว้าง
เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทยในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 73 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายภุชงค์ วรศรี) | นร.04 | 03/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายภุชงค์ วรศรี เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓ ตุลาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 74 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี) | นร.04 | 03/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ ตุลาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 75 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายศุภชัย โพธิ์สุ) | นร.04 | 03/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายศุภชัย โพธิ์สุ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 76 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 29 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) | นร.11 สศช | 26/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๙ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) โดยให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพัน์ อมรวิวัฒน์) ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT (IMT-GT
Minister) และเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๙ แผนงาน IMT-GT (Joint Statement of the 29th IMT-GT
Ministerial Meeting) และการประชุมอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องในระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ กันยายน ๒๕๖๖
และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
ได้ร่วมกับรัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT ของประเทศสมาชิก
ให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๖ โดยไม่มีการลงนาม
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑) มุ่งมั่นการพัฒนาที่ยั่งยืนของอนุภูมิภาคผ่านความร่วมมืออย่างรอบด้าน
(๒) เร่งการบูรณาการเทคโนโลยีด้านการเกษตร การเพิ่มผลผลิต
และการจัดการกับความท้าทายร่วมกับสาขาความร่วมมืออื่น ๆ (๓)
ริเริ่มความร่วมมือด้านฮาลาลในโครงการที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (๔)
เร่งพัฒนาให้อนุภูมิภาค IMT-GT เป็นจุดหมายปลายทางแห่งเดียวกันในการท่องเที่ยว
และ (๕) เน้นย้ำถึงการพัฒนาระบบดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาระบบนิเวศ 5G
สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 77 | มาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566) | กค. | 26/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดมาตรการในการพักหนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs)
ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล
รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ผู้เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม
เพิ่มรายได้” และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๒,๐๙๖ ล้านบาท โดยมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ควรคัดกรองผู้ที่เข้าร่วมโครงการให้เป็นลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนทางด้านสภาพคล่องอย่างแท้จริง
เพื่อมิให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ เกิดแรงจูงใจที่จะไม่ชำระหนี้
และมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีข้อมูลของเกษตรกร
ร่วมกันประเมินสภาพปัญหาของผู้ที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ
และกำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมแก่สภาพปัญหาของเกษตรกรแต่ละราย
ควรมีการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพยังชำระหนี้ต่อเนื่อง
โดยออกแบบมาตรการที่ให้ผลตอบแทนแก่ลูกหนี้มากพอที่จะยังชำระหนี้ต่อ
รัฐจะต้องให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และสื่อสารทำความเข้าใจกับลูกหนี้ถึงเจตนารมณ์และเงื่อนไขของโครงการอย่างชัดเจน
ครบถ้วน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 78 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 | กค. | 26/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ เฉพาะในส่วนที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้ว การบริหารหนี้ที่ครบกำหนด
และการชำระหนี้ ประกอบด้วย (๑) แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม ๑๙๔,๔๓๔.๕๓ ล้านบาท
(๒) แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงินรวม ๑,๖๒๑,๑๓๕.๒๒ ล้านบาท และ (๓) แผนการชำระหนี้
วงเงินรวม ๓๙๐,๕๓๘.๖๓ ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการตามแผนฯ หน่วยงานภายใต้แผนฯ
จะต้องดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๔ แห่ง
ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.)
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า
๑ เท่า สามารถกู้เงินและบริหารหนี้ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗
โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่งดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการฯ
เช่น (๑) กคช. ควรเร่งดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการทรัพย์สิน (Sunk Cost)
อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
และร่วมมือกับภาครัฐในการจัดทำแผนการใช้ที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การเคหะแห่งชาติ
เพื่อนำที่ดินไปใช้ในการพัฒนาโครงการในอนาคต (๒) ธพส. ควรเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
๘๐ พรรษา พื้นที่โซน C ให้มีความก้าวหน้า
ตามแผนการดำเนินงานและแผนการใช้เงิน และบริหารสินทรัพย์และหนี้สินให้มีประสิทธิภาพ
รวมทั้งพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานทั้งในด้านธุรกิจและด้านการเงิน
เพื่อเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นในการระดมทุน (๓) รฟท.
ควรเร่งโอนทรัพย์สินให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ของ รฟท.
ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด เพื่อให้เกิดรายได้มาชำระคืนหนี้คงค้างที่สะสม
และเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟทางคู่ และ (๔) ขสมก. ควรเร่งรัดการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการและแผนต่าง
ๆ อย่างครบถ้วน และจัดทำแผนดังกล่าวเป็นตัวชี้วัด (KPI) ของ
ขสมก. และมีการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารหนี้สาธารณะที่ถูกต้อง ครบถ้วน
และทันสมัย ไปดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ขอให้ รฟท. และ ขสมก.
เร่งรัดการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการของหน่วยงานเพื่อเพิ่มรายได้ให้เพียงพอสำหรับการชำระหนี้และเพื่อทำให้ฐานะทางการเงินของหน่วยงานดีขึ้นตามข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ
รวมทั้งให้ รฟท. และ ขสมก.
รายงานความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามแผนพื้นฟูกิจการของหน่วยงานต่อคณะกรรมการ
ฯ เพื่อทราบต่อไป ๑.๓
อนุมัติการกู้เงินเฉพาะในส่วนที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้ว
ในส่วนของรัฐบาลสำหรับการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ
การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
มาตรา ๗
แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
(กองทุน Financial Institutions Development Fund :
FIDF) พ.ศ. ๒๕๔๑ และมาตรา ๗ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุน
FIDF ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕
รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเฉพาะในส่วนที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้วเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา
และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๗ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน
เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกัน
และการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้
หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง
ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง คณะกรรมการฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการกำกับ
ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๔ แห่ง ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
การเร่งรัดการดำเนินงานและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนที่กำหนด
การให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บรายได้
การจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระหนี้คืนต้นเงินกู้ให้มากขึ้น และการดำเนินนโยบายการคลังและการบริหารเงินกู้ที่ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังรอบคอบ
รวมทั้งการติดตามการดำเนินงานตามแนวทางการแก้ไขปัญหาขององค์กรหรือแผนพื้นฟูกิจการของรัฐวิสาหกิจที่มีความจำเป็นต้องกู้เงิน
แต่มีผลการดำเนินงานที่ไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ความสามารถในการชำระหนี้ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 79 | การขอความเห็นชอบต่อร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน-องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ระยะปี ค.ศ. 2024-2028 (ASEAN-ECO Framework of Cooperation 2024-2028) | กต. | 18/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกรอบความร่วมมืออาเซียน-องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
(Economic Cooperation Organization : ECO) ระยะปี ค.ศ.
๒๐๒๔-๒๐๒๘ (ASEAN-ECO Framework of Cooperation 2024-2028 :
FoC) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างกรอบความร่วมมือฯ
โดยร่างกรอบความร่วมมือฯ
เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
(ECO) ครั้งที่ ๑๕ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในวันที่ ๒๒
กันยายน ๒๕๖๖ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับ ECO ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน การคมนาคมและการสื่อสาร
พลังงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการควบคุมสารเสพติด
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ของกรอบความร่วมมือฯ
ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 80 | แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) ฉบับทบทวน | กค. | 13/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง
(ปีงบประมาณ ๒๕๖๗-๒๕๗๐) ฉบับทบทวน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปประกอบการพิจารณาในการจัดเก็บหรือหารายได้
การจัดทำงบประมาณ และการก่อหนี้ของหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังฯ ต่อไป
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญการลดการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ในระดับต่ำกว่าในแผนการคลังระยะปานกลาง
(ปีงบประมาณ ๒๕๖๗-๒๕๗๐) ฉบับทบทวน
รวมทั้งแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นที่ชัดเจนในการเพิ่มรายได้และประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
ตลอดจนจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ให้มากขึ้น
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดแรงกดดันด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
รวมทั้งเพื่อให้มีพื้นที่ทางการคลังที่เพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
