ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 13 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 252 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 41 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ
และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า
“เงินเดือน” และปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการโดยสามารถแบ่งจ่ายเป็น ๒
รอบ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการ
รวมทั้งเป็นการเพิ่มอัตราเงินหมุนเวียนซึ่งจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศ
อีกทั้งเพื่อให้เป็นการเบิกจ่ายเงินเดือนของข้าราชการมีความคล่องตัว รวดเร็ว
และสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานศาลปกครอง ที่เห็นว่าข้อสังเกตตามร่างมาตรา
๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า “เงินเดือน” หมายความว่า
เงินเดือนและเงินอื่นที่มีกำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ... คำว่า “หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
อาจทำให้เกิดการตีความได้ว่าให้สามารถจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงินได้
เพื่อให้เกิดความชัดเจนอาจปรับปรุงถ้อยคำดังกล่าวเป็น “หรือที่กำหนดจ่ายตามรอบระยะเวลาอื่นภายในแต่ละเดือนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
การใช้ถ้อยคำในมาตรา ๒๐ ที่บัญญัติให้ “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” ควรมีการ
การปรับถ้อยคำเป็น “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายและหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” เพื่อให้ครอบคลุมทั้งกรณีที่จะมีการปรับเปลี่ยนกำหนดวันจ่ายและวิธีการจ่ายอย่างอื่นในอนาคตด้วย
และการแก้ไขมาตรา ๒๐ ควรจะเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับระยะเวลาการจ่ายเงินเดือนก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน
ซึ่งอาจกำหนดให้มากหรือน้อยกว่าสามวันทำการก็ได้
และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลในการแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ .... และนิยามในมาตรา ๔ การกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นโดยกรมบัญชีกลางจึงควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เช่น การแบ่งจ่ายเงินเดือนของข้าราชการเป็น ๒ รอบ
ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของข้าราชการแต่ละราย
เนื่องจากภาระหนี้สินของข้าราชการแต่ละรายมีบริบทที่แตกต่างกัน ควรพิจารณาวิธีการดำเนินการจ่ายเงินเดือนที่เหมาะสมและรอบคอบ
และมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับข้าราชการ
รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องด้วย ในกรณีคณะรัฐมนตรีจะกำหนดจ่ายเงินเดือนเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือในกรณีกรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือนในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนสามวันทำการ
เห็นควรขอให้คณะรัฐมนตรีหรือกรมบัญชีกลางพิจารณาในประเด็นว่า
ข้าราชการจะขอแจ้งความประสงค์ต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้มีการจ่ายเงินเดือน ๑
รอบ หรือ ๒ รอบ ให้แก่ตน ได้หรือไม่ อย่างไร ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการแบ่งจ่ายเงินเดือน
๒ รอบนั้น ควรเป็นภาคสมัครใจ
และวิธีการจะต้องไม่เป็นการสร้างภาระเกินควรให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการหักชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของข้าราชการ
เป็นต้นไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 42 | เอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีเอเปค และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ค.ศ. 2023 | กต. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๓o (Joint Ministerial
Statement of the 30th APEC Finance
Ministers’ Meeting) จะจัดขึ้นในวันที่
๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกัน
เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของภูมิภาคเอเปคอย่างครอบคลุมและยั่งยืน โดยมีประเด็นสำคัญที่ต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจเอเปคอย่างเป็นรูปธรรม
เช่น (๑) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (๒)
เศรษฐศาสตร์อุปทานสมัยใหม่ (๓) การพัฒนานวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความรับผิดชอบ
และ (๔) การเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น ย่อหน้า ๒
น่าจะสามารถเพิ่มถ้อยคำเพื่อย้ำความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายกรุงเทพมหานคร
ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Economy) เพื่อสะท้อนการสานต่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี
๒๕๖๕ และย่อหน้า ๓
ถ้อยคำเรื่องสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเขตเศรษฐกิจเอเปค
ซึ่งคาดว่าน่าจะหมายถึงสถานการณ์รัสเชีย-ยูเครน กระทรวงการต่างประเทศไม่มีข้อขัดข้องหากจะมีการใช้ถ้อยคำเดิม
(Agreed Language) ในประเด็นดังกล่าวตามที่ปรากฏในร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเอเปค
และปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๒ และร่างเอกสารดังกล่าวปรากฏการใช้คำว่า
“Commit” ที่มีลักษณะผูกมัดการดำเนินนโยบายของประเทศ
ซึ่งอาจเกินกว่าแนวทางความร่วมมือภายใต้กรอบ APEC ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล
และการเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงอาจพิจารณาปรับถ้อยคำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรองรับการพัฒนาของเรื่องดังกล่าวในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
ครั้งที่ ๓๐ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 43 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2566/67 | พณ. | 07/11/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปี ๒๕๖๖/๖๗ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการ นบมส.
และช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรโดยไม่เร่งระบายผลผลิต
เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก
ซึ่งจะส่งผลให้ราคาที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
อนุมัติในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๖/๖๗ และโครงการภายใต้มาตรการดังกล่าวของกระทรวงพาณิชย์
และให้ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน
๒๖,๖๗๐,๐๐๐ บาท
ให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในโอกาสแรกก่อน
หากไม่เพียงพอให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒
โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร
ปี ๒๕๖๖/๖๗ วงเงิน ๓๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
โครงการในส่วนที่ใช้เงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและรัฐบาลได้มีการชดเชยให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการดำเนินโครงการดังกล่าว
ให้กระทรวงพาณิชย์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรร่วมกันพิจารณาอัตราการชดเชยให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวข้างต้นอย่างแท้จริง
โดยอยู่ในอัตราที่เท่ากันกับอัตราการชดเขยของมาตรการที่มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันในสินค้าเกษตรอื่นและไม่ควรมากกว่าอัตราการชดเชยในอดีตที่ผ่านมาของโครงการในลักษณะเดียวกันเพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓. ให้กำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินโครงการของทั้ง ๒
โครงการดังกล่าวข้างต้น เป็นตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖)
เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 44 | โครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย (อิสราเอล) | กค. | 31/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการสินเชื่อคืนถิ่นแรงงานไทย
(อิสราเอล) ภายในกรอบวงเงินประมาณ ๑,๒๐๐ ล้านบาท
พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 45 | การกำหนดสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 31/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุม ปี ๒๕๖๖ เพิ่มจำนวน ๑ รายการ
ได้แก่ น้ำตาลทราย ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อป้องกันการกำหนดราคาซื้อ
ราคาจำหน่ายหรือการกำหนดเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม และกำกับดูแลสินค้าน้ำตาลทรายให้มีราคาที่เป็นธรรมและมีปริมาณที่เพียงพอ
และเห็นควรพิจารณามอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยให้ได้รับผลตอบแทนอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตอ้อยในแต่ละช่วงเวลา โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 46 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | อว. | 31/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญคือ
ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนกิจกรรมการแลกเปลี่ยนภายใต้โครงการที่จะดำเนินการร่วมกัน
ได้แก่ (๑) โครงการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนสำหรับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ (๒)
การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือสำหรับสถาบันวิจัย และ (๓)
การประชุมเชิงปฏิบัติการและการสัมมนาวิชาการ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาคประชาชนระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรจัดเตรียมแนวทางการดำเนินงานร่วมกันทั้งในส่วนของประเด็นความร่วมมือที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
ยกระดับความสามารถในการดูดซับวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ (Absorptive Capacity) ของนักวิจัยและผู้ประกอบการไทย
และแนวทางการแบ่งปันผลประโยชน์จากผลงานการวิจัย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทั้ง
๒ ประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 47 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2566 ระหว่างกระทรวงพาณิชย์และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยและร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง | พณ. | 31/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖
ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖
ระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
และร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์และสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 48 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2566 ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย | อก. | 31/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖
ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย (Memorandum of Understanding on the Cooperation on
Projects of the Lancang-Mekong Cooperation Special Fund 2023) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดสำหรับการดำเนินโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
เกี่ยวกับการส่งเสริมความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในอนุภูมิภาค
ตลอดจนช่วยสนับสนุนความพยายามของประเทศสมาชิกในการผลักดันการขนส่งสีเขียวและการประหยัดพลังงาน
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเห็นควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 49 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (สินค้าน้ำมันเบนซินและน้ำมันที่คล้ายกัน) | กค. | 31/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีสาระสำคัญเป็นการปรับลดอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซิน
๑ บาทต่อลิตร โดยให้อนุพันธ์ของน้ำมันดังกล่าวมีการปรับลดอัตราภาษีตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันที่ผสมอยู่
ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗
และหลังจากนั้นให้อัตราภาษีกลับสู่อัตราเดิมก่อนการปรับลด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายกระทรวงพลังงานใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อปรับราคาขายปลีกให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคณะรัฐมนตรีในการลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์
๙๑ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันเบนซินที่สะท้อนต้นทุนตามข้อเท็จจริง ประชาชนตระหนักถึงภาระการชดเชยต้นทุนส่วนต่าง
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์
และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการทางภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้ความสำคัญกับการดูแลแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและราคาน้ำมัน
และพิจารณาให้ราคาน้ำมันเบนซินเคลื่อนไหวสอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลก
เพื่อให้ประชาชนและระบบเศรษฐกิจมีการปรับตัวไปสู่การประหยัดพลังงาน
รวมทั้งลดแรงกดดันทางด้านการคลัง
และรักษาขีดความสามารถของกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรองรับความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 50 | การยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียและไต้หวัน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว | กต. | 31/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียและไต้หวัน
เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๖-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียและไต้หวัน
เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการ โดยแยกประกาศกระทรวงมหาดไทยเป็น
๒ ฉบับ เนื่องจากฐานอำนาจในการดำเนินการต่างกัน และดำเนินการดังนี้ ๓.๑
แก้ไขชื่อร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยในส่วนของการยกเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสาธารณรัฐอินเดีย
เป็น “ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง
ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว
ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวัน
เป็นกรณีพิเศษ” เพื่อให้สอดคล้องกับข้อ ๑๓ (๓) (ก) แห่งกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น และการเปลี่ยนประเทศการตรวจลงตรา พ.ศ.
๒๕๔๕ และประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับทั่วไปที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ๓.๒
การจัดทำร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย สำหรับกรณีไต้หวัน แยกอีกฉบับหนึ่ง
โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศควรเป็นหน่วยงานหลักในการประสานความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ต่อมาตรการการตรวจลงตราฯ ดังกล่าว หน่วยงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ
อาทิ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ควรมีการติดตามเฝ้าระวัง
และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญในกลุ่มนักท่องเที่ยวสัญชาติอินเดีย
เพื่อให้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตราฯ เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างคุ้มค่าและแท้จริง
ควรเร่งประเมินความพร้อมและศักยภาพของประเทศไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ
โดยจัดทำเป็นแผนงาน การดำเนินงาน (road map) ที่ระบุถึงกลุ่มประเทศที่จะมีการยกเว้นการตรวจลงตรา
และระยะเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างโอกาส
และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวให้ดีขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๕. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผลการเข้ามาของนักท่องเที่ยวทั้งสองสัญชาติอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
หากพบว่าผลกระทบด้านความมั่นคงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงสามารถเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกหรือปรับเปลี่ยนมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราฯ
ควรมีการติดตามเฝ้าระวัง
และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญในกลุ่มนักท่องเที่ยวสัญชาติอินเดีย
เพื่อให้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตราฯ
เกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างคุ้มค่าและแท้จริง และควรเร่งประเมินความพร้อมและศักยภาพของประเทศไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ
โดยจัดทำเป็นแผนงาน การดำเนินงาน (road map) ที่ระบุถึงกลุ่มประเทศที่จะมีการยกเว้นการตรวจลงตรา
และระยะเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างโอกาส
และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวให้ดีขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 51 | การขอยกเว้นการยื่นรายการตามแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (แบบ ตม.6) ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นการชั่วคราว | กก. | 24/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการยกเว้นการยื่นรายการตามแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร
(แบบ ตม.๖) ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา
จังหวัดสงขลา เป็นการชั่วคราว ในช่วงระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖-๓๐ เมษายน
๒๕๖๗ และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีการจัดทำประเมินรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม
เพื่อสะท้อนให้เห็นประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจของการดำเนินมาตรการดังกล่าว
ตลอดจนอาจพิจารณาดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ
เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติด้วย
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้าน เช่น ผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจในฤดูท่องเที่ยวหรือสถิติที่เกี่ยวกับอาชญากรรมหรือความมั่นคง
โดยรายงานผลการดำเนินการเมื่อสิ้นสุดมาตรการ
และควรมีการประเมินความเสี่ยงจากการยกเลิกการยื่นรายการตามแบบ ตม.๖ เป็นระยะ
พร้อมทั้งควรส่งเสริมระบบการตรวจคนเข้าเมืองในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านช่องทางบกและทางน้ำสามารถยื่นแบบได้ก่อนการเดินทาง
โดยการมีระบบดังกล่าวจะช่วยส่งผลให้ประเทศไทยสามารถดูแลความมั่นคงในการเดินทางเข้าเมืองระหว่างประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 52 | ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) | กก. | 24/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการเลื่อนวันจัดการแข่งขันกีฬาเอเชียนอินดอร์และมาเชี่ยลอาร์ทเกมส์
ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ค.ศ. ๒๐๒๑) จากเดิมระหว่างวันที่ ๑๗-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
เลื่อนเป็นระหว่างวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์-๖ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้งนี้
ให้คำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของนักกีฬา และผู้เข้าร่วมงานเป็นสำคัญ
และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
รวมทั้งควรเร่งประสานภาคเอกชนใหเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนการจัดการแข่งขัน โดยเฉพาะจากการรับสิทธิประโยชน์ทางการตลาดและโฆษณา
เพื่อให้การจัดการแข่งขันเป็นไปตามวัตถุประสงค์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านกีฬา
และการกระชับความสัมพันธ์กลุ่มประเทศที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันโดยไม่ก่อให้เกิดภาระทางด้านงบประมาณของประเทศจนเกินความจำเป็น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
เห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันดังกล่าว
วงเงินทั้งสิ้น ๑,๗๔๕,๐๐๒,๕๕๒ บาท และให้การกีฬาแห่งประเทศไทยดำเนินการต่อไป โดยใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ
๑,๒๐๗.๐๑ ล้านบาท ใช้จ่ายจากรายได้จาการแข่งขันฯ ๒๐๒.๕๐
ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๓๓๕.๔๔ ล้านบาท
ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้การกีฬาแห่งประเทศไทยใช้จ่ายจากเงินสะสมของการกีฬาแห่งประเทศไทย
และเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ รวมทั้งเงินรายได้จากการจัดการแข่งขันฯ
ในโอกาสแรกก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 53 | การต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2566 | กต. | 24/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาชาติ
ปี ๒๕๖๐ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ปี ๒๕๖๕ ในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ
(United Nations Regional
Course in International Law) ประจำปี ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๑๓
พฤศจิกายน-๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออบรมกฎหมายระหว่างประเทศให้แก่ผู้ที่มีภูมิหลังด้านกฎหมายหรือประสบการณ์ในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทยสำหรับการฝึกอบรมฯ
ประจำปี ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อการต่ออายุความตกลงประเทศเจ้าภาพระหว่างไทยกับสหประชาติสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ
(United Nations Regional Course in International Law)
ประจำปี ๒๕๖๖
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการฝึกอบรมฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
และควรวิเคราะห์และติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 54 | ร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร ระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย | กห. | 24/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการส่งเสริมการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย
(Joint Statement on Enhanced Information
Sharing between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the
Department of Defence of the Commonwealth of Australia) และให้ปลัดกระทรวงกลาโหม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการกำหนดขั้นตอนกรอบแนวทางและการดำเนินการตามกฎหมายที่เหมาะสมในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างหน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ
ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ
สนับสนุนความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่มีร่วมกันในปัจจุบัน
อาทิ การบริหารจัดการโรคระบาด การต่อต้านการก่อการร้าย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความมั่นคงทางทะเล
ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง อันจะนำไปสู่ขีดความสามารถในการป้องปรามและตอบสนองต่อภัยคุกคามและสิ่งท้าทายร่วมกันในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 55 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสมชาย มรกตศรีวรรณ และนางโสภา เกียรตินิรชา) | รง. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง เนื่องจากผู้ครองตำแหน่งเดิมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงานและเกษียณอายุราชการ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ ๑. นายสมชาย มรกตศรีวรรณ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 56 | การให้ความเห็นชอบและร่วมรับรองเอกสารข้อริเริ่มว่าด้วยกรอบความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาสีเขียว | พณ. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสารข้อริเริ่มว่าด้วยกรอบความร่วมมือด้านการค้าระหว่างประเทศและความร่วมมือทางเศรษฐกิจสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาสีเขียว
(Initiative on International Trade and
Economic Cooperation Framework for Digital Economy and Green Development) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ
หรือโดยมีหนังสือแจ้งฝ่ายจีนเพื่อร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
โดยร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ที่จะมีการให้ความเห็นชอบและรับรองในระหว่างการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง
(Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่
๓ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงปักกิ่ง
สาธารณรัฐประชาชนจีน มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของผู้เข้าร่วมในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจ
การพัฒนาสีเขียว การสร้างขีดความสามารถ
ตลอดจนกำหนดแนวทางการปรับปรุงและพัฒนาความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศในอนาคต
ควรมอบหมายให้คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒๗๒/๒๕๖๖ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๖
รับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้
กระทรวงพาณิชย์อาจเสนอให้มีการหารือเพื่อพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นภายใต้ร่างเอกสารฯ
ได้แก่ การเสริมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
และการส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการกำจัดกากของเสีย
รวมถึงการลงทุนอุตสาหกรรมการกำจัดซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 57 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชานจีน (Memorandum of Understanding on Deepening Cooperation
between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the
Ministry of Foreign Affairs of the People’s Republic of China) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการตกลงกันที่จะรื้อฟื้นกลไกการหารือระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเป็นประจำทุกปี
เพื่อกำหนดทิศทางด้านนโยบายในการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างไทย-จีน
และกระชับความร่วมมือในประเด็นระหว่างประเทศและภูมิภาคที่มีความสนใจร่วมกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 58 | การยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติรัสเซีย เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดให้
“สหพันธรัฐรัสเซีย” อยู่ในรายชื่อประเทศในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว
ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินเก้าสิบวัน
เป็นกรณีพิเศษ โดยมีเงื่อนไขให้มีผลบังคับใช้ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๗
เพื่อประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสหพันธรัฐรัสเซีย
โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา
และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินเก้าสิบวัน เป็นกรณีพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้
“สหพันธรัฐรัสเซีย”
อยู่ในรายชื่อประเทศผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน
๙๐ วัน ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ถึงวันที่ ๓๐
เมษายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขบทอาศัยอำนาจของร่างประกาศให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเป็นหน่วยงานกลางในการประสานการกำกับ
ติดตาม ตรวจสอบ
และประเมินผลการเข้ามาของนักท่องเที่ยวสัญชาติรัสเซียร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติของหลักประติบัติต่างตอบแทนกับต่างประเทศ
มิติความมั่นคง มิติเศรษฐกิจ และมิติการท่องเที่ยว
เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และผลประโยชน์แห่งชาติ รวมทั้งควรมีการติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบจากการให้สิทธิการยกเว้นการตรวจลงตรา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการท่องเที่ยวไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนามัคคุเทศก์ให้ได้มาตรฐานทั้งทักษะด้านภาษาต่างประเทศ
และภาษารัสเซีย ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ทราบในวงกว้าง
และเผยแพร่ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศไทย อาทิ
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)
ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพอีกทางหนึ่ง
ตลอดจนพัฒนาระบบความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวที่สามารถเข้าถึงการแจ้งเหตุเตือนภัยหรือแจ้งเหตุประสบอันตรายได้อย่างสะดวก
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจในการเดินทางมายังประเทศไทย
และสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีในระหว่างการพำนักในประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 59 | ร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | อว. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัยแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงฯ โดยร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบการดำเนินความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานของทั้งสองประเทศบนพื้นฐานความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมความร่วมมือภายใต้ร่างแถลงการณ์เจตจำนงฯ ควรศึกษาข้อกฎหมายและกฎระเบียบที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อแนวทางการดำเนินงานร่วมกันทั้งในส่วนของการแบ่งผลประโยชน์และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
ซึ่งจะมีผลให้แถลงการณ์เจตจำนงฯ เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศอย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 60 | ร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต. | 16/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
(Joint Press Communique between the
Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s
Republic of China) ในโอกาสการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี
และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมฯ โดยไม่มีการลงนาม
โดยร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการสะท้อนผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำระดับสูงของจีน
ระหว่างการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
